Ads 468x60px

ท่าอุเทนเมืองธรรมมะ พระธาตุสูงงาม แม่น้ำสองสี ไดโนเสาร์ล้านปี ประเพณีไทญ้อ
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ นครพนม แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ นครพนม แสดงบทความทั้งหมด

วันศุกร์ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2561

อึ้งกันทั้งหน่วยตรวจเลือก นางฟ้ามาเอง


อึ้งกันทั้งหน่วยตรวจเลือก แทบไม่เชื่อสายตา หลัง นายกิตติทัต อัมวัน ลูกหลานชาวบ้านดงต้อง ตำบลดงขวาง อำเภอเมือง จังหวัดนครพนม เดินทางมารายงานตัวในชุดนักศึกษามหาวิทยาลัยนครพนม เพื่อเข้ารับการตรวจเลือกทหาร ที่ หน่วยตรวจเลือกหอประชุมที่ว่าการ อ.เมือง นครพนม เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2561 ที่ผ่านมา โดยมี พ.ต.วิชาญ ฝอดสูงเนิน สัสดี อ.นาแก คณะกรรมการ ตรวจเลือก นำตรวจสอบเอกสารหลักฐาน แต่ได้รับการยกเว้นตามกฎหมาย เนื่องจากอยู่ในประเภทสอง ที่ต้องได้รับการยกเว้นในการตรวจเลือก

ขอบพระคุณที่มาจาก : นครสารออนไลน์

วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2561

วัดพุทธนิมิต งดงามเกินคำบรรยาย


 “วัดพุทธนิมิต” ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง บ้านตาลหนองเทา ต.หนองเทา อ.ท่าอุเทน โดยมี พระอธิการสุพิช รตนโชโต อายุ 45 ปี พระเจ้าอาวาสวัดพุทธนิมิต และมีตำแหน่งเป็นเจ้าคณะตำบลหนองเทา อ.ท่าอุเทน มีแนวคิดแปลกบวกกับความชอบด้านศิลปะ เป็นการส่วนตัว ก่อนนำมาออกแบบก่อสร้างอุโบสถของวัดเพื่อใช้ในการปฏิบัติกิจของสงฆ์ เพียรพยายามสร้างอุโบสถ นานร่วม 10 ปี มูลค่าเกือบ 30 ล้าน ออกแบบลวดลายด้วยศิลปะ เชียงทอง ผสมผสานล้านนา หลวงพระบาง หาดูยาก ตั้งเป้าสร้างความแตกต่าง เป็นจุดสนใจ สร้างกุศโลบายปริศนาธรรม ดึงคนเข้าวัดทำบุญ ส่งเสริมท่องเที่ยวเชิงธรรมะ


โดยมีการออกแบบประดับตกแต่งด้วยศิลปะแตกต่างจากวัดทั่วไป และหาดูได้ยาก คือ ออกแบบสร้างด้วย ศิลปะเชียงทอง ผสมผสานกับศิลปะล้านนา ทั้งนี้ ส่วนใหญ่มักจะพบเห็นแถบเมืองหลวงพระบาง สปป.ลาว ทำให้มีรูปแบบลวดลายวิจิตรสวยงาม อลังการ ละเอียดอ่อน เกือบทั้งหมดจะเป็นการปั้นปูน ภาพนูนต่ำเป็นหลัก ทำให้ลวดลายออกมาสวยงาม สร้างความสนใจให้แก่ประชาชน นักท่องเที่ยวที่พบเห็นเป็นอย่างมาก


ท่านพระเจ้าอาวาสตั้งเป้าจะสร้างความตื่นตาเป็นกุศโลบาย ดึงดูดให้ประชาชน นักท่องเที่ยวเข้าวัดฟังธรรม เป็นปริศนาธรรมสั่งสอนไปในตัว รวมถึงเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงธรรมะอีกด้วย


นอกจากนี้ ด้านหลังของวัดยังมีการก่อสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ หลวงพ่อใหญ่ ไว้ริมฝั่งแม่น้ำโขง ไว้เป็นที่สักการบูชาของชาวไทยและชาวลาว
 

พระอธิการ สุพิช รตนโชโต พระเจ้าอาวาสวัดพุทธนิมิต และมีตำแหน่งเป็นพระเจ้าคณะตำบลหนองเทา อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม กล่าวถึงที่มาของการสร้างอุโบสถหลังนี้ว่า เดิมบ้านเป็นชาวจังหวัดกาฬสินธุ์ บวชมาแล้วเป็นเวลา 23 พรรษา อดีตได้เดินธุดงค์ไปหลายจังหวัดมาจนกระทั่งพบสำนักสงฆ์แห่งนี้ที่มีความร่มเย็น ติดกับน้ำโขง จึงได้พัฒนาบุกเบิกจนขึ้นทะเบียนเป็นวัดมาตั้งแต่ปี 2538 ทำให้ชาวบ้านมีจิตศรัทธา ร่วมพัฒนาก่อสร้างวัดต่อเนื่อง


จนกระทั่งปี 2547 ได้มีการออกแบบสร้างอุโบสถเพื่อเป็นสถานที่ปฏิบัติกิจสงฆ์ ภายใต้แรงศรัทธาของชาวบ้าน และผู้จิตศรัทธา รวมระยะเวลากว่า 9 ปี แล้วเสร็จสมบูรณ์ประมาณปี 2557 อุโบสถแห่งนี้มีเป้าหมายหลักต้องการใช้เป็นที่ปฏิบัติพิธีทางศาสนา เน้นในเรื่องความแตกต่างโดดเด่นจากวัดทั่วไป เนื่องจากมีความชอบศิลปะเป็นส่วนตัวจึงได้นำเอาศิลปะเชียงทองผสมล้านช้างมาผสมผสานงาน


ประติมากรรม ส่วนใหญ่จะพบเห็นตามวัดแถบเมืองหลวงพระบาง สปป.ลาว ถือว่าหาดูได้ยาก โดยได้ออกแบบร่วมกับช่างศิลป์ที่รู้จักกัน ใช้งบก่อสร้างเป็นเงินร่วม 28 ล้านบาท เป็นปัจจัยจากผู้มีจิตศรัทธาทั้งหมด


พระอธิการสุพิช เล่าอีกว่า อุโบสถแห่งนี้จะมีจุดเด่นตั้งแต่การออกแบบก่อสร้างฐานด้วยหินแม่น้ำโขง หลังคามุงด้วยกระเบื้องไม้แท้ ส่วนลวดลายฝาผนัง หน้าจั่วภายนอกจะเป็นการปั้นปูน ประดับตกแต่งด้วยกระจกเงา ลวดลายเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา คำสั่งสอน สร้างความสวยงามวิจิตรตระการตามากขึ้น


บันไดทางขึ้นจะมีการปั้นรูปพญานาคเน้นลวดลายสีสันความสวยงามเป็นหลัก 


รวมถึงพญานาคแบบครึ่งคน ที่เป็นองค์นาคี-นาคา สื่อถึงตำนานพญานาคที่มีอิทธิฤทธิ์ที่สามารถแปลงร่างเป็นคนได้


ไปจนถึงสิงห์ทิพย์ที่ออกแบบลวดลายผสมผสานกึ่งสัตว์ในวรรณคดีให้มีรูปแบบลวดลายที่สวยงามโดดเด่น


ส่วนรอบหลังคาจะประดับด้วยสัตว์ประจำปีเกิด 12 นักษัตร ส่วนภายในจะเขียนด้วยสีน้ำ เป็นพุทธประวัติ และประเพณีอีสาน ฮีต 12 ครอง 14 และภายในจะมีพระพุทธรูป พระชินราช ประดิษฐานไว้ ถือว่าเป็นศิลปะการก่อสร้างที่สวยงามหาดูได้ยาก


“อยากสร้างจุดเด่นให้ประชาชน นักท่องเที่ยว ลูกหลานเยาวชนได้สนใจเข้ามาวัด ได้มาเยี่ยมชมและได้รำลึกถึงประวัติความเป็นมาของพระพุทธเจ้า และความสำคัญของพระพุทธศาสนา เป็นการขัดเกลาจิตใจของคนไปด้วย อย่างน้อยเมื่อเข้าวัดจะได้ความสงบ ร่มเย็น เนื่องจากปัจจุบันสังคมเปลี่ยนไปทำให้คนไม่ค่อยเข้าวัดฟังธรรม จึงต้องใช้กุศโลบายเข้ามาช่วย”

วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2561

ไปไม่รอด ขนกัญชา 10 ล้านมุ่งหาดใหญ่


เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 19 มี.ค.61 ที่ด่านตรวจบ้านพละ หมู่ที่ 3 ต.เขาไชยราช อ.ปะทิว จ.ชุมพร
พล.ต.ท.สรศักดิ์ เย็นเปรม ผบช.ภ.8 ,นายณรงค์ พลละเอียด ผวจ.ชุมพร ,,ร่วมกับฝ่ายปกครอง ทหาร และสำนักงาน ป.ป.ส.ภ.8 แถลงข่าวจับกุม นายวินัย เถาสอน อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 24 หมู่ 4 ต.วังตามัว อ.เมือง จ.นครพนม นายสุภัทร ดุสิตา อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 10 หมู่ 9 ต.วังตามัว อ.เมือง จ.นครพนม และนายสาง โซ่เมืองแซะ อายุ 43 ปี อยู่บ้านเลขที่ 213 หมู่ 6 ต.ดงหลวง อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร พร้อมของกลาง กัญชาอัดแท่ง จำนวน 275 แท่ง รวมน้ำหนัก 275 กิโลกรัม รถเก๋งยี่ห้อฮอนด้า รุ่นซิตี้ สีแดง ทะเบียน กต 522 ปราจีนบุรี ที่ใช้บรรทุกกัญชา และรถยนต์กระบะ โตโยต้า รุ่นวีโก้ สีน้ำตาล ทะเบียน บค 1653 เบตง ที่ใช้นำเส้นทางดูด่านตรวจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมทั้งสิ่งของอื่นๆ อีกหลายรายการ


พล.ต.ท.สรศักดิ์ เย็นเปรม ผบช.ภ.8 แถลงถึงผลการจับกุมยาเสพติดในครั้งนี้ว่า เมื่อเวลา 10.00 น. ของวันที่ 18 มี.ค.61 ที่ผ่านมา ขณะที่ พ.ต.อ.ฉลาด พลนาการ ผกก.สภ.บ้านมาบอำมฤต ทำหน้าที่หัวหน้าด่านตรวจบ้านพละ นำกำลังพร้อมกับเจ้าหน้าที่ทหารชุด ชป.รส.ร.25 พัน1 มทบ.44 จ.ชุมพร ตั้งด่านตรวจบนถนนเพชรเกษม หมู่ที่ 3 ต.เขาไชยราช อ.ปะทิว จ.ชุมพร ฝั่งขาล่องใต้ พบรถกระบะโตโยต้าวีโก้ ทะเบียน บค 1653 เบตง วิ่งผ่านด่านตรวจไป ก่อนจะไปยูเทิร์นกลับรถมุ่งหน้ากลับไปยัง จ.ประจวบคีรีขันธ์ ผ่านด่านตรวจอีกครั้ง จึงได้ให้กำลังตำรวจขับรถติดตามไปประมาณ 5 กิโลเมตร พบรถกระบะคันดังกล่าวเลี้ยวเข้าไปที่เคียงภูรีสอร์ต ติดกับริมถนนเพชรเกษม เพื่อเปิดห้องพัก กำลังตำรวจจึงขอตรวจค้น


ทราบชื่อคนขับรถคือ นายสาง โซ่เมืองแซะ อายุ 43 ปี ชาว จ.มุกดาหาร และนายวินัย เถาสอน อายุ 32 ปี ชาว จ.นครพนม ที่นั่งมาด้วย จากการสอบสวนนายสางยอมรับสารภาพว่า เป็นคนขับรถดูเส้นทางด่านตรวจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนยาเสพติดเป็นกัญชาอัดแท่ง อยู่ในรถเก๋งฮอนด้า รุ่นซิตี้ สีแดง ทะเบียน กต 522 ปราจีนบุรี ที่มีนายสุภัทร ดุสิตา เป็นคนขับ และมาจอดรถรออยู่ที่หน้ารีสอร์ตดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงขอตรวจค้น พบกัญชาอัดแท่งจำนวน 275 แท่ง ซุกอยู่ภายในรถและที่กระโปรงหลัง จึงควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไปสอบสวนที่ด่านตรวจบ้านพละ

จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับสารภาพว่า รับจ้างขนกัญชาทั้งหมดมาจาก จ.นครพนม เพื่อไปส่งให้ลูกค้าที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โดยได้ค่าจ้างเป็นเงิน 1 แสนบาท แต่ก็มาถูกจับกุมเสียก่อน
ผบช.ภ.8 กล่าวอีกว่า สำหรับนายวินัย เถาสอน มีประวัติโชกโชน เคยถูกจับกุมคดีค้ากัญชาจำนวน 200 กิโลกรัม เมื่อปี 53 ติดคุกอยู่ 7 ปี 6 เดือน เพิ่งพ้นโทษออกมาเมื่อปี 60 แต่เมื่อไม่มีงานทำก็กลับมาค้ากัญชาอีก ส่วนกัญชาลอตนี้หากหลุดรอดไปถึงต่างประเทศ จะมีราคาไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งการจับกุมในครั้งนี้ต้องขอชื่นชมเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ด่านตรวจบ้านพละแห่งนี้.

ขอบพระคุณที่มาจาก

วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2561

ข้าวเปียกเส้นไทญ้อ



ข้าวเปียกเส้น หรือ ก๋วยจั๊บญวน ถือว่าเป็นเมนูที่คุ้นชินของพี่น้องไทญ้อ ท่าอุเทน นครพนมบ้านเฮา ปัจจุบันมีขายตามห้างทั่วไป ทำให้จะไปอยู่ไหนก็สามารถทำกินได้ และเส้นก็มีแบบเส้นแห้ง และเส้นสด
วิธีการทำก็คงเป็นสูตรคล้ายๆกัน อันนี้ขอหยิบยกสูตรนครพนมเรานี่แหละ จาก baannoi.com มาให้พี่น้องลองทำดูเด้อ

  วัสดุส่วนผสมและเครื่องปรุง 
  • เส้นข้าวเปียก(ก๊วยจั๊บญวน) 1 กก สูตรนี้ใช้แบบเส้นสด 
  • กระดูกซี่โครงหมู 1-2 กก 
  • เลือดไก่ 4-5 ก้อน 
  • หมูยอ
  • หมูบด 1 กก 
  • เกลือ 1 ถ้วยเล็ก 
  • น้ำตาล 1 ถ้วยเล็ก 
  • น้ำมันหอย 1 ถ้วยเล็ก 
  • ซีอิ้วขาว 1 ถ้วยเล็ก 
  • ผงปรุงรส นิดหน่อย 
  • ต้นหอม 10 ต้น 
  • ผักชี 5 ต้น รากผักชี 5 ต้น 
  • กระเทียมกลีบเล็ก ครึ่งกก 
  • หอมแดง ครึ่งกิโล 
  • พริกป่น 1 ถ้วย (ไว้ทำน้ำพริกเผา) 
  • น้ำมันพืชไว้สำหรับเจียวกระเทียมและหอมแดง 
ขั้นตอนและวิธีการปรุงข้าวเปียกเส้น
  • ล้างกระดูกซี่โครงหมู สับเป็นชิ้นพอคำ
  • นำหม้อใส่น้ำประมาณเกือบ4 ส่วนของหม้อใบใหญ่
  • ต้มให้น้ำเดือดแล้วใส่กระดูกหมูและรากผักชีลงไปต้มให้เปื่อย
  • เส้นข้าวเปียกแบบสด ให้ล้างน้ำหนึ่งน้ำแล้วพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ
  • ล้างต้นหอมและผักชี ซอยบางๆไว้โรยหน้าเวลารับประทาน
  • หั่นหอมแดงบางๆ แล้วเจียวในน้ำมันไฟปานกลาง พอหอมและเหลืองตักขึ้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน
  • โขลกกระเทียมให้ละเอียด แล้วนำไปเจียวให้เหลืองหอมกรอบตักขึ้นพักไว้ น้ำมันไม่ต้องทิ้ง
  • เลือดไก่ให้หั่นเป็นชิ้นเล็กๆพอคำ แล้วนำน้ำร้อนมาแช่เลือดจะได้ไม่เละ และไม่มีกลิ่นคาว
  • พอน้ำซุปเริ่มเดือดและหมูเริ่มเปื่อยแล้วให้ปรุงรสด้วย น้ำมันหอย,เกลือ,น้ำตาล,ซีอิ้วขาว,ผงปรุงรส ถ้าอยากเพิ่มความนัวของน้ำซุปก็ให้ใส่รสดีลงไปด้วยก็ได้ เคี่ยวไว้สักพัก
ตั้งกะทะพอร้อนใส่น้ำมันที่ใช้ในการเจียวกระเทียมและหอม ประมาณ 1 ทัพพีนำหมูบดลงไปรวน ปรุงรสหมูบดให้กลมกล่อม ด้วยซีอิ้วขาว,น้ำมันหอย อย่างละ 1 ช้อนโต๊ะ คลุกเคล้าให้เข้ากันให้หมูสุกประมาณ 80 % แล้วนำลงไปเทลงในหม้อน้ำซุปได้เลย เป็นอันเสร็จทุกขั้นตอนการทำน้ำซุปของเส้นข้าวเปียก

ถ้าเรารับประทานเลยก็ให้ ใส่เส้นข้าวเปียกและเลือดลงไปในหม้อเลยแต่ถ้ายังก็ให้ต้มแยกเป็นหม้อเล็กๆทีละชามสองชามก็ได้ เส้นจะได้ไม่อืด

สูตรน้ำพริกเผา 
  • พริกป่น 1 ถ้วยเล็ก 
  • ใส่เกลือ 1 ช้อนชา
  • น้ำตาล 1 ช้อนชา
  • ผงปรุงรสนิดหน่อยจะได้นัวๆ 
  • กระเทียมเจียวและน้ำมันที่เจียว
  • แล้วตักน้ำซุปที่เราต้มตอนร้อนๆเติมลงไป คนให้เข้ากัน 
ขอบคุณที่มาเมนูเด็ด 

วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2561

แก้บนพ่อปู่พญานาค จ้างหมอลำดังแก้บนใหญ่

 เมื่อเวลา 19.09 วันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา ณ ลานพญาศรีสัตตนาคราช ริมฝั่งแม่น้ำโขง อ.เมือง จ.นครพนม นายวรวิทย์ เจียวิรยบุญญา วัย 75 ปี เสี่ยใหญ่นักธุรกิจใน จ.หนองบัวลำภู


พร้อมครอบครัวกว่า 10 คน นำหมูหันตัวใหญ่ พร้อมหัวหมู พานบายศรี 1 คู่ น้ำมะพร้าวอ่อนน้ำแดง และผลไม้หลากชนิดมาเซ่นไหว้ พร้อมจ้างหมอลำชื่อดังบัวผัน ทังโส มาแสดงแก้บนถวายพ่อปู่พญานาค หลังบุตรสาวและหลานสาวหายป่วยจากโรคภัยไข้เจ็บที่รุมเร้ามานาน

นายนิวัต เจียวิริยบุญญา นายกเทศมนตรีเมืองนครพนม กล่าวว่า นายวรวิทย์เดิมทีเป็นชาว จ.นครพนม เป็นน้องชายของบิดาตนโดยมีศักดิ์เป็นอา ไปประกอบธุรกิจส่วนตัวนานหลาย 10 ปี มีฐานะร่ำรวยและเป็นคหบดีคนหนึ่งใน จ.หนองบัวลำภู มีอยู่วันหนึ่งนางอรัญญา เจียวิริยบุญา วัย 45 ปี บุตรสาวนายวรวิทย์ ภรรยานายยุทธนา เรืองวรบูรณ์ นายกเทศมนตรีตำบลศรีสงคราม ป่วยหนักจนอาการทรุด และบุตรสาวนางอรัญญาวัย 8 ขวบ ยังป่วยจนพูดไม่ได้ ครอบครัวจึงมาบนบานไว้กับพ่อปู่พญานาคเมื่อหลายเดือนก่อน เพื่อให้หายจากโรคภัยทั้ง 2 คน


“แต่แล้วจู่ๆนางอรัญญาหายป่วยและเดินได้ ส่วนบุตรสาวจากที่พูดไม่ได้ กลับมาพูดจาได้ จึงพานั่งรถเข็นมาแก้บน พร้อมมานั่งชมหอมลำคณะชื่อดัง ที่ครอบครัวตระกูลเจียวิริยบุญญา และครอบครัวเรืองวรบูรณ์ ได้ศรัทธาองค์พ่อปู่พญานาค เพื่อให้ครอบครัวญาติพี่น้องมีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคภัยมาเบียดเบียน หลังบุตรสาวนายวรวิทย์และหลานหายป่วย ยิ่งกว่าถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 เสียอีกจึงได้นำเครื่องเซ่นไหว้ และหมอลำชื่อดังระดับแนวหน้าของประเทศแก้บน”

ขอบพระคุณที่มาจาก
ข่าว/ภาพ ประทีป วชิระธัญญากุล สำนักข่าวทีนิวส์ นครพนม

วันพุธที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2561

เรื่องราวของเมืองไชยสุทธิอุตตมบุรี และ ตำนานหมู่บ้านคนตาย


ในปีที่ ๒๖ แห่งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มีชนเผ่าหนึ่งอยู่ทางตอนเหนือของหลวงพระบาง ภายในราชอาณาจักรลาว โดยเรียกตนเองว่า“ญ้อ” มี“ท้าวหม้อ” เป็นหัวหน้า ภรรยาชื่อ“สุนันทา” ปกครองเมืองหงสาวดีซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ต่อมาเกิดมีการแย่งความเป็นใหญ่กันขึ้น ท้าวหม้อสู้ไม่ได้จึงได้อพยพภรรยาบุตร และบ่าวไพร่ ประมาณ ๑๐๐ คน ล่องแพมาตามแม่น้ำโขง พอมาถึงนครเวียงจันทน์ท้าวหม้อขอสวามิภักดิ์พึ่งพระบรมโพธิสมภารต่อเจ้าอนุวงศ์เจ้าอนุวงศ์ผู้ครองนครเวียงจันทน์จึงอนุญาตให้ไปตั้งเมืองอยู่ที่ปากน้ำสงคราม ซึ่งเป็นชัยภูมิดีเหมาะแก่การเพาะปลูกทุกอย่าง อีกทั้งข้าวปลาอาหารก็อุดมสมบูรณ์


หลังจากสร้างเมืองขึ้นเรียบร้อยแล้ว เจ้าอนุวงศ์ก็ตั้งท้าวหม้อเป็น“พระยาหงสาวดี” มีเมืองที่สร้างขึ้นใหม่อยู่ริมปากน้ำสงครามข้างเหนือ หรือฝั่งขวาของแม่น้ำโขง มีนามเมืองแห่งนี้ว่า“เมืองไชยสุทธิอุตตมบุรี(ปัจจุบันมีฐานะเป็นแค่ตำบลไชยบุรี อยู่เหนืออำเภอท่าอุเทน ขึ้นไป ๑๖ กิโลเมตร) ฝ่ายพรรคพวกและชาวประชาทราบข่าว“ท้าวหม้อ” ได้เป็นเจ้าเมืองปกครองบ้านเมืองให้มีความสุขสบายจึงได้พากันอพยพครอบครัวมาสมทบกันมากขึ้น ทำให้พลเมืองในไชยสุทธิอุตตมบุรีมีมากถึง ๕๐๐ คน ในปี พ.ศ.๒๓๕๗ หรือหลังจากสร้างเมืองได้ ๖ ปี ตรงกับแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ พระยาหงสาวดี(หม้อ) และอุปฮาด(เล็ก) ได้ร่วมใจกันสร้าง“วัดไตรภูมิ”ขึ้น ซึ่งมีชื่อเรียกในเวลาต่อมาว่า“วัดศรีสุนันทราอาราม” ซึ่งตั้งอยู่ปากน้ำสงครามด้านเหนือ


ครั้งปีกุน อัฏฐศก จุลศักราช ๑๑๘๘ พ.ศ.๒๓๖๙ อันเป็นปีที่ ๔ ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ เจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์เป็นกบฏต่อกรุงเทพฯ แต่ก็พ่ายแพ้แก่พระบรมเดชานุภาพ เจ้าอนุวงศ์หนีไปขอพึ่งญวนฝ่ายพระยาหงสาวดีแห่งเมืองไชยสุทธิอุตตมบุรี เดิมที่เคยพึ่งบารมีเจ้าอนุวงศ์เกิดมีความหวาดกลัวภัยจากกองทัพกรุงเทพฯ ประกอบกับชาวบ้านเกิดโรคระบาดด้วย จำเป็นต้องตัดสินใจละทิ้งเมืองพาครอบครัวและชาวเมืองอพยพข้ามแม่น้ำโขง เพราะอยู่ที่เดิมเกรงจะไม่ปลอดภัย ขณะที่ข้ามแม่น้ำโขง พระยาหงสาวดีได้ขี่ม้าตัวเมียชื่อ“อีก้อม” ฝ่ากระแสน้ำที่ไหลเชี่ยว อีก้อมได้พาพระยาหงสาวดีผ่านมาได้จนสำเร็จ แต่พอถึงชายหาดฝั่งซ้ายของลำน้ำโขงก็ถึงแก่ความตายศพม้าจึงถูกฝังไว้ที่ชายหาดนั้น ผู้คนที่ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ติดกับชายหาดนั้นเลยพากันตั้งชื่อหมู่บ้านนั้นว่า“บ้านหาดอีก้อม” ทุกวันนี้ยังมีชื่อปรากฏอยู่


พอพระยาหงสาวดีพาผู้คนอพยพไปเรียบร้อยแล้ว ได้พักอยู่ที่ท่าจำปาก่อน จากนั้นได้เดินทางต่อไปถึงเมืองญวน และได้สร้างเมืองขึ้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยให้นามเมืองที่สร้างครั้งนี้ว่า“เมืองหลวงปุงลิง” บางคนก็เรียกว่า“โปงเลง” หลังจากสร้างเมืองหลวงปุงลิง ผ่านไปประมาณ ๑ ปี พระยาหงสาวดี(ท้าวหม้อ) และอุปฮาด(เล็ก)ก็ถึงแก่กรรมที่เมืองนั้น เนื่องจากเมืองหลวงปุงลิงเป็นเมืองขึ้นของญวน เจ้ากรุงเว้อานามจึงได้แต่งตั้งกรรมการขึ้นใหม่มีดังต่อไปนี้ ท้าวประทุม เป็นเจ้าเมือง ท้าวจรรยา เป็นอุปฮาด หมายถึงผู้ได้รับอำนาจสมบัติกึ่งหนึ่ง ท้าวจันทร์ศรีสุราช(โสม) บุตรพระยาหงสาวดี(ท้าวหม้อ) เป็นราชวงศ์ โดยตำแหน่งต้องเป็นเชื้อสายเครือญาติเจ้าเมือง มีหน้าที่เกี่ยวกับตัดสินคดีชำระถ้อยความ ท้าวปุตร เป็นราชบุตร แปลว่า ลูกเจ้าเมือง แต่กรรมการเมืองไม่พอใจขึ้นกับญวน เพราะไม่ใช่ชนชาติเดียวกัน ทั้งการคมนาคมไปมาก็ไม่สะดวกและห่างไกลกันมาก แต่ก็ต้องจำใจเป็นเมืองขึ้นไปก่อน เพราะเกรงอำนาจบารมี เนื่องจากที่พึ่งเดิมทางเวียงจันทน์ยังระส่ำระส่ายอยู่ เลยพยายามคิดหาหนทางและคอยโอกาสหนี เพื่อไปขอพึ่งพระบรมโพธิสมภารของเจ้ากรุงสยาม


ครั้น พ.ศ.๒๓๗๓ เจ้าอนุวงศ์กลับจากเมืองญวนมานครเวียงจันทน์อีกและคิดกบฏต่อกรุงเทพฯ อีกเป็นครั้งที่ ๒ พระยาราชสุภาวดี(สิงห์ สิงหเสนีย์)ได้เป็นแม่ทัพคุมกองขึ้นมารบกับเจ้าราชวงศ์ แม่ทัพนครเวียงจันทน์ที่ค่ายบุกหวาน เจ้าราชวงศ์ต้องอาวุธในที่รบ จึงหนีทัพกลับไปนครเวียงจันทน์พร้อมกับเจ้าอนุวงศ์ซึ่งต่างคนต่างก็พ่ายแพ้กองทัพไทย หนีไปเมืองญวนอีก แม่ทัพไทยตามจับเจ้าอนุวงศ์และครอบครัวได้ จึงนำตัวลงไปกรุงเทพฯ


ส่วนเจ้าราชวงศ์ยังจับไม่ได้ พระยาราชสุภาวดีแม่ทัพใหญ่จัดให้พระวิชิตสงครามเป็นแม่ทัพคุมทัพอีกกองหนึ่งไปตั้งอยู่ที่นครพนม ให้ตรวจตราด่านช่องทางคอยสืบจับตัวเจ้าราชวงศ์ ราชวงศ์เสนเมืองเขมราฐเป็นแม่ทัพอีกกองคุมไพร่พลเมืองอุบล เมืองยโสธร จำนวน ๑๘๐ คน ไปตั้งอยู่ที่เมืองไชยสุทธิอุตตมบุรี ซึ่งเป็นเมืองร้างอยู่นั้น ให้รักษาปากน้ำสงครามอันเป็นด่านช่องทางของกองทัพนครเวียงจันทน์เข้าออกให้กวดขัน และให้สืบจับเจ้าราชวงศ์นครเวียงจันทน์ต่อไป


ครั้นการศึกสงครามขบถเวียงจันทน์สงบลงแล้ว ราชวงศ์เสนและกรมการเมืองได้พร้อมใจกันปฏิสังขรณ์วัดวาอารามและสร้างเมืองไชยสุทธิอุตตมบุรี ซึ่งชำรุดทรุดโทรมอยู่ให้มีสภาพดีขึ้น และเกลี้ยกล่อมครอบครัวชาวเมืองคำม่วน-คำเกิด ให้ข้ามแม่น้ำโขง มาตั้งภูมิลำเนาอยู่เป็นจำนวนมาก รวมชายฉกรรจ์ได้ ๖๐๐ คน เมืองไชยสุทธิอุตตมบุรี ต่อมาถูกเรียกหดสั้นเข้าไปเป็น“เมืองไชยบุรี” ต่อมา พ.ศ.๒๓๗๖ เจ้าพระยาบดินทร์เดชา(สิงห์ สิงหเสนีย์) เป็นแม่ทัพใหญ่ ยกกองทัพขึ้นไปสู้กับญวน เพื่อป้องกันมิให้เขมรถูกกลืนชาติ คณะกรมการเมืองหลวงปุงลิงเห็นเป็นโอกาสเหมาะหากันปรึกษาหารือและลงความเห็นว่า บัดนี้ควรฉวยโอกาสที่ญวนมัวสนใจกับการทำศึกสงครามกับไทยอยู่ คงมิได้ระวังสงสัยพวกของตน จึงน่าจะหลบหนีจากเมืองปุงลิง เมื่ออพยพมาถึงริมฝั่งแม่น้ำโขง โดยพาผู้คนมาตั้งหลักอยู่ที่ดอนทราย กลางแม่น้ำโขง(นาเหนือ) ตรงข้ามท่าอุเทนในปัจจุบัน และส่งคนไปสืบดูลาดเลาทางเมืองไชยสุทธิอุตตมบุรีเดิม หากยังคงเป็นเมืองร้างอยู่ ก็จะกลับเข้าไปอยู่ดังเดิม พอไปถึงปรากฏว่าภายในเมืองไชยบุรีมีแม่ทัพนายกอง ตั้งมั่นรักษาเมืองอย่างแข็งขันอีกทั้งยังมีผู้คนอาศัยอยู่อย่างเนืองแน่น จึงพากันเข้าไปขอสวามิภักดิ์เป็นข้าขอบขัณฑสีมาอาณาจักรกรุงสยาม ในระยะนี้ราชวงศ์เสนไม่ได้รับโปรดเกล้าฯ จากเจ้ากรุงสยาม ราชวงศ์เสนและคณะกรมการเมืองพร้อมด้วยแม่ทัพนายกอง มีหนังสือบอกข้าราชการและพาตัวเจ้าเมือง และคณะกรรมการเมืองปุงลิงข้ามแม่น้ำโขงมาตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ฝั่งไทยและให้ชื่อว่า“บ้านท่าอุเทน”


ครั้น พ.ศ.๒๓๘๐ ซึ่งเป็นปีที่ ๑๕ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ มีท้องตราพระราชสีห์โปรดเกล้าฯ ให้เมืองท่าอุเทนขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ มิต้องขึ้นกับเมืองยโสธร นคร พนมเหมือนแต่ก่อน เขตแดนของเมืองท่าอุเทนนั้น มิได้แบ่งเพราะอยู่ในเขตแดนเมืองนครพนม ให้เมืองท่าอุเทนช่วยกันพิทักษ์รักษาตามเขตแดนเมืองนครพนมไปก่อน โดยมีพระศรีวรราช(พระปทุม) เป็นเจ้าเมืองท่าอุเทนคนแรกในเดือนมกราคม พ.ศ.๒๔๕๖ มหาอำมาตย์โท พระยาอำมาตยาธิบดี เมื่อสมัยยังดำรงตำแหน่งเป็นรองเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ได้มาตรวจราชการที่เมืองนครพนมเห็นว่า ที่ตั้งอำเภอไชยบุรีอยู่ปากน้ำสงครามไม่เหมาะสม ปัจจุบันผู้สืบสายเลือดของชาวไทยญ้อ ได้กระจัดกระจายไปอยู่ตามท้องที่ของอำเภอต่างๆ อุปนิสัยใจคอส่วนมากร้อยละ ๙๕% มีความซื่อสัตย์สุจริต รักความสงบ มีความสามัคคีกันดี เวลามีงานปลูกบ้าน ทำบุญ แต่งงาน ลงนา ฯลฯ จะให้ความร่วมมือร่วมแรงกันอย่างแข็งขัน


เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของชาวไทยญ้อที่ไม่เหมือนใคร คือ ที่บรรจุอัฐิของบรรพบุรุษชาวไทยญ้อจะปลูกเป็นเรือนเล็กๆ เรียงรายกันไปตามชายป่าหรือในเขตวัด เวลามองมาแต่ไกลไม่ต่างกับหมู่บ้านขนาดหย่อม ทั้งนี้เพราะฐานะทางเศรษฐกิจชาวไทยญ้อค่อนข้างยากจน


จึงเก็บอัฐิตามที่ฐานะจะอำนวยให้ เวลามีงานศพทุกคนจะสละเวลาและหน้าที่การงานของตนมาช่วยเหลือกันจริงๆ โดยจะช่วยกันเสียเงินคนละ ๓-๔ บาทต่อศพ ตามคุ้มวัดหรือหมู่บ้านที่ตนสังกัด คือบางคุ้มก็เสียศพละ ๓ บาท บางคุ้มก็เสีย ๕ บาท แต่ตามชนบท หมู่บ้านที่มีพลเมืองน้อยเสียคนละ ๑๐ บาทประเพณีการเก็บอัฐิที่เห็นได้เด่นชัด ซึ่งชาวไทยญ้อได้อนุรักษ์ไว้เป็นเอกลักษณ์ที่วัดร้อยป่าอรัญญา ตำบลบ้านขวางคลี อำเภอโพนสวรรค์ จังหวัดนครพนม




ขอบคุณข้อมูลจาก
 เจริญ ตันมหาพราน
เรื่องจริงผ่านจอ
Tnew
เรียบเรียงโดย ไทท่าอุเทน
 

วันอาทิตย์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2561

ประวัติหลวงปูสีทัตถ์ (lp-seetud)


ในประวัติเมืองท่าอุเทน ซึ่งเขียนโดย นายเมธี ดวงสงค์ ได้เขียนถึงประวัติของหลวงปู่สีทัตถ์พระอาจารย์ผู้สร้างพระธาตุท่าอุเทนเอาไว้ว่า หลวงปู่สีทัตถ์ท่านบวชถึง ๓ ครั้ง และได้ลาสึกถึง ๒ ครั้ง ส่วนสาเหตุที่ทำให้ท่านต้องลาสิกขาบทออกไป แล้วเข้ามาบวชอีกว่า เป็นเพราะมีเรื่องทางโลกเข้ามารบกวนความสงบของท่านกล่าวคือ มีเหตุอันเป็นกระแสแห่งโลกทำให้ท่านต้องสึกไปแต่งงานซ้ำแล้วซ้ำอีก ชาวบ้านที่เคารพนับถือท่านบางคนก็กล่าวว่า สาเหตุที่หลวงปู่สีทัตถ์ท่านลาสิกขาไปนั้น คงเนื่องมาจากมี พระบาง อยู่ในวัด แต่มูลเหตุดังกล่าวนี้ก็เป็นความเข้าใจของคนบางคนเท่านั้นจะมีความจริงเท็จแค่ไหนเพียงไรก็ยากที่จะนำมาพิสูจน์กัน


พระบางนี้ได้มีผู้เล่าสืบต่อกันมาว่า ได้มีการสร้างขึ้นในประเทศลาว โดยคณะกรรมการ ๒ ฝ่ายเป็นผู้ร่วมกันสร้างขึ้นคือฝ่ายสงฆ์มี สมเด็จเหมมะวันนา เป็นประธาน ส่วนฝ่ายฆราวาส มีพญาแมงวัน(มีรูปแมลงวันติดอยู่ที่หน้าผาก) ผู้เป็นเจ้าเมืองเหิบ ประเทศลาวเป็นประธาน ในครั้งนั้นได้หล่อพระที่มีขนาดเท่ากันขึ้น ๒ องค์ องค์หนึ่งเป็นพระขัดสมาธิ (ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่บ้านดอนติ้ว เมืองหินปูน ประเทศลาว) องค์ที่สองนั้นเป็นพระยืนปางห้ามสมุทร คือพระบาง ซึ่งปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดไตรภูมิ ตำบลท่าอุเทน อำเภอท่าอุเทนจังหวัดนครพนม 


หลังจากได้อัญเชิญพระบางจากประเทศลาวมาประดิษฐานที่วัดพระธาตุท่าอุเทนได้ไม่นาน ก็ต้องย้ายไปประดิษฐานยังวัดไตรภูมิ ส่วนสาเหตุที่ต้องย้ายที่ประดิษฐานพระบางจากวัดพระธาตุท่าอุเทนไปประดิษฐานไว้ที่วัดไตรภูมินั้นก็สืบเนื่องมาจาก หลวงปู่สีทัตถ์ ท่านต้องลาสึกถึง ๒ ครั้งนั่นเอง ทั้งนี้เพราะเป็นความเชื่อถือของชาวบ้านว่า พระบางเป็นพระที่ไม่ให้คุณ มีอาถรรพณ์ทำให้หลวงปู่สีทัตถ์ ซึ่งเป็นพระอาจารย์ที่มีผู้เคารพนับถือมากในลุ่มแม่น้ำโขง ตลอดจนถึงฝั่งลาวต้องลาสึก


ซึ่งเรื่องราวมีว่า หลังจากหลวงปู่สีทัตถ์ท่านเข้ามาบวชเป็นครั้งที่สองนั้น ท่านมักจะออกแสวงหาความวิเวกตามสถานที่สงบต่างๆอยู่เสมอ และการอุปสมบทครั้งที่สองของท่านนั้น ท่านอุปสมบทหลังจากที่พระบางได้มาประดิษฐานอยู่ที่วัดพระธาตุท่าอุเทนแล้ว คือหลังปี พ.ศ. ๒๔๕๐ ส่วนสาเหตุที่ท่านต้องสึกอีกครั้งนั้น มีเรื่องเล่าว่า ท่านพร้อมกับลูกศิษย์องค์หนึ่งได้ถือธุดงคกรรมฐานไปที่ฝั่งลาว วันหนึ่ง ขณะที่ท่านนั่งกรรมฐานอยู่นั้น ท่านได้ยินเสียงร้องรำของหญิงสาวชาวบ้านมีความไพเราะจับใจมาก ถึงขนาดตัดสินใจลาสิกขาบทในคืนวันนั้นทันที หลวงปู่ท่านได้ลาสิกขาเปลื้องผ้ากาสาวพัสตร์แล้ว ไปสู่ขอหญิงสาวชาวบ้านผู้ที่ร้องรำคนนั้นกับบิตามารดาทันที ซึ่งบิดามารดาของหญิงสาวก็ไม่ขัดข้องเพราะมีความเคารพนับถือท่านมากอยู่แล้ว การลาสิกขาบทของท่านสร้างความประหลาดแก่ผู้พบเห็นในเวลานั้นเป็นอย่างยิ่ง เพราะจู่ ๆ พระผู้ทรงศีลาจารวัตรอันงดงาม ต้องมาพ่ายแพ้กิเลสอันเป็นตัวมารอย่างง่าย ๆ เช่นนั้นจึงทำให้ชาวบ้านคิดไปว่าคงเป็นเพราะพระบางที่อยู่ในวัดมีอาถรรพณ์จึงบันดาลให้ท่านเป็นไป ต่างลงความเห็นกันว่าไม่สมควรเอาไว้ จึงได้พากันย้ายพระบางออกจากวัดพระธาตุท่าอุเทน ไปอยู่วัดไตรภูมิตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา


หลวงปู่สีทัตถ์ ท่านเป็นพระที่มีบุญญาบารมีสูงยิ่งจริง ๆ และท่านมีอภินิหารแก่กล้ามาก ท่านสามารถก่อสร้างพระธาตุต่าง ๆ สำเร็จมาแล้วหลายแห่ง เช่น 

๑. พระธาตุท่าอุเทน อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม
 ๒. พระธาตุพระพุทธบาทบัวบก อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี 
๓. มณฑปโพนสัน ประเทศลาว

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสร้างพระธาตุท่าอุเทน นั้น หลวงปู่สีทัตถ์ท่านมีความสามารถสร้างเหมือนพระธาตุพนมสมัยก่อนได้ทั้งๆ ที่ฐานรองรับก็เพียงขุดหลุมแล้วใส่หินนางเรียง หรือหินแก้วนางฝาน เป็นฐานรองรับพระธาตุซึ่งยังไม่ทรุดแต่ประการใด


และมีอายุยาวนานมากว่า ๗๐ ปีแล้ว นับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์มิใช่น้อยที่คนในสมัยนี้คงไม่มีบารมีก่อสร้างได้เช่นท่าน เพราะการนำเอาหินแก้วนางฝานมารองรับองค์พระธาตุได้นี้ นับว่าเป็นอภินิหารอันแก่กล้าของท่านเหนือโลกจริง ๆ


ในระหว่างที่หลวงปู่สีทัตถ์ทำการก่อสร้างองค์พระธาตุท่าอุเทนนั้น (ในราว พ.ศ. ๒๔๕๖) ได้มีพระครูสมุห์วรคณิสรสิทธิการ ซึ่งทางฝ่ายคณะสงฆ์จากกรุงเทพฯ ได้แต่งตั้งให้เป็นผู้แทนหัวหน้าสงฆ์ มาตรวจการทางภาคอีสาน ครั้นมาถึงจังหวัดหนองคายได้ข่าวว่าหลวงปู่สีทัตถ์ เป็นผู้มีอิทธิพลมาก และแสดงปาฏิหาริย์ต่างๆ ได้ เช่น ล่องหนหายตัว ย่อแผ่นเดินให้แคบเข้า และ ข้ามแม่น้ำโขงได้โดยไม่ต้องใช้เรือ มีผู้คนเลื่อมใสมากและได้ซ่องสุมผู้คนเพื่อจะกบฏต่อกรุงเทพฯ


พระคูรสมุห์วรฯ จึงคิดจะมาจับเอาตัวท่านหลวงปู่ลงไปกรุงเทพฯ ความจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นข่าวลือที่เกิดขึ้น เพราะหลวงปู่ท่านเป็นคนสุภาพอ่อนโยน รักความสงบ และถ่อมตนอยู่เสมอเป็นผู้ตั้งอยู่ในสุจริตปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดต่อพระธรรมวินัย จึงทำให้มีผู้ศรัทธาเลื่อมใสท่านมาก หลวงปู่ท่านไม่ได้แสดงปาฏิหาริย์ ท่านตั้งใจสร้างพระธาตุเจดีย์โดยบริสุทธิ์ใจ แต่ก็มีผู้ไม่หวังดีใส่ร้ายท่าน ซึ่งเรียกว่าเป็นตัวมารโดยแท้


พระครูสมุห์วรฯ เมื่อโดยสารเรือล่องลงมาจากจังหวัดหนองคายมาถึงท่าอุเทนแล้ว ก็จอดหรือตรงท่าวัดกลาง ซึ่งขณะนั้นมีหาดทรายติดกับตลิ่งฝั่งท่าอุเทนยื่นไกลออกไปสู่กลางแม่น้ำโขงประมาณ ๑๐ เส้น และเมื่อพระครูสมุห์วรฯ มาถึงก็มีข้าราชการ พ่อค้า ประชาชนออกมาให้การต้อนรับพอสมควร ท่านได้ขึ้นไปวัดอรัญญวาสี เพื่อจะจับเอาหลวงปู่สีทัตถ์ แต่ก็ไปไม่ถึงวัด ไปถึงแค่หน้าที่ว่าการอำเภอก็แวะเข้าไปพักอยู่ที่นั่น เมื่อมีผู้ไปถามท่านว่า “ทำไมไม่ไปให้ถึงวัด” ท่านก็ตอบว่า “กลัวพระสีทัตถ์จะสั่งให้ลูกน้องทำอันตราย”


พระคูรองค์นั้นได้โทรเลขให้ พระพนมนราฯรักษ์ (อุ้ย นาครทรรพ) ผู้ว่าฯ นครพนมในสมัยนั้น ให้ขึ้นมาจับเอาตัวหลวงปู่สีทัตถ์เอง แต่กลับได้รับคำตอบกลับไปว่า “ท่านอาจารย์สีทัตถ์มิได้คิดกบฏซ่องสุมผู้คนอะไรเลย หากแต่ท่านสร้างพระธาตุเจดีย์และมีผู้คนมาจากอำเภอและจังหวัดต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้เดียงเดินทางมาช่วยท่าน โดยหวังผลในส่วนกุศลเท่านั้น มิได้คิดเป็นอย่างอื่นดังที่พระคุณเจ้าเข้าใจ และตัวท่านพระอาจารย์สีทัตถ์เองก็อยู่ในศีลธรรมอันดี รักความสงบไม่มีจิตคิดอิจฉาและชิงดีคนอื่น” เมื่อพระครูสมุห์วรฯ ทราบความจริงเช่นนั้น จึงเดินทางต่อไปยังเมืองนครพนม เหตุการณ์ก็เป็นอันสงบไป 


ส่วนทางฝ่ายวัดอรัญญวาสี เมื่อทราบข่าวว่ามีพระภิกษุมาจากกรุงเทพฯ จะมาจับเอาตัวหลวงปู่ซึ่งท่านก็ไม่ได้สะทกสะท้านแต่อย่างใด ท่านยังสั่งให้พระลูกศิษย์เตรียมปูอาสนะให้ด้วย และท่านก็ยังคงทำงานก่อสร้างพระธาตุของท่านไปเรื่อย ๆ ต่อมาได้มี พระอาจารย์ปาน ซึ่งมาจากบ้านใหม่ ดอนสังคี อำเภอโพนพิสัย กับ พระอาจารย์ยอดแก้ว และ พระอาจารย์ปิ่น ได้มาขอสู้แทนหลวงปู่ซึ่งท่านก็กล่าวว่า “พระคูรสมุห์ฯ ไม่มาดอก อย่าวุ่นวายไปเลย” และก็ไม่มาจริง ๆ


เรื่องอภินิหารที่เกิดจากบุญญาบารมีของผู้สร้าง คือหลวงปู่สีทัตถ์นี้ได้มีผู้กล่าวกันว่า ได้แสดงอภินิหารด้วยการเรียกปลาร้ามาเลี้ยงคนงานที่มาก่อสร้างองค์พระธาตุอย่างอัศจรรย์ยิ่ง ซึ่งเรื่องมีอยู่ว่า ในการสร้างพระธาตุท่าอุเทนนั้น อาหารหลักที่จะนำมาเลี้ยงคนทั่วไปก็คือ ปลาแดก (ปลาร้า) กับผักสด และปลาแห้ง หลวงปู่สีทัตถ์ท่านได้ตั้งโรงครัวเพื่อให้คนงานที่ออกแรงปั้นอิฐ (ดินจี่) เผาอิฐ ได้รับประทานกัน ซึ่งมีจำนวนเป็นร้อย ๆ (รวมทั้งพระภิกษุสามเณรด้วย) 


เย็นวันหนึ่ง หลวงปู่ได้เดินตรวจดูความเรียบร้อยของงานที่ผ่านไปวันหนึ่ง ๆ และท่านได้มายืนคุยกับญาติโยมที่กำลังพากันรับประทานอาหารเย็นอยู่ พวกแม่ครัวจึงพากันนมัสการท่านว่า “วันนี้ปลาร้าหมดไหแล้วพรุ่งนี้จะไม่มีปลาร้าประกอบอาหารอีก” หลวงปู่ท่านได้ยินแล้วก็ไม่ตอบอะไรได้แต่ยิ้ม ๆ และหัวเราะหึ ๆ ในลำคอเท่านั้น และท่านได้เดินมาดูไหปลาร้าที่ว่างเปล่ากว่า ๑๐ ไห แต่ท่านก็ไม่ได้แสดงอาการวิตกกังวล หรือมีคำสั่งในเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด ทำให้พวกแม่ครัวพากันห่วงยิ่งขึ้นและคิดไปว่า “เอ... หลวงปู่เรานี่ จะเอาอย่างไรนะ ปลาร้าหมดไห บอกให้รู้ก็ทำเป็นเฉย ๆ อยู่ จะเอาอย่างไรก็ดี จะให้ทำอย่างไรก็ไม่บอก” ก่อนที่หลวงปู่ท่านจะเดินจากไป ท่านก็พูดเปรย ๆ ขึ้นว่า “กินข้าวกินปลากันไปเถอะแล้วจะมีคนเอามาให้” คำพูดของหลวงปู่ครั้งนั้นทำให้พวกแม่ครัวพากันฉงนอยู่มิใช่น้อย จากนั้นต่างก็ช่วยกันเก็บล้างถ้วยชามทำความสะอาด แล้วปิดประตูโรงครัวเพื่อกันไม่ให้สุนัขหรือแมวเข้าไปรบกวนแล้วก็พากันเข้าไปนอน


พอวันรุ่งขึ้นพวกแม่ครัวก็พากันมาติดไฟนึ่งข้าวเหนียวเพื่อเตรียมไว้ให้พวกที่สร้างพระธาตุได้กินกันก่อนทำงาน ปรากฏการณ์อันแปลกประหลาดก็เกิดขึ้นแก่แม่ครัวได้อัศจรรย์กันไปตาม ๆ กัน เพราะบรรดาไหปลาร้าที่ว่างเปล่าเมื่อเย็นวานนี้ กลับมีปลาร้าเต็มไหหมด สร้างความฉงนสนเท่ห์แก่ทุกคนที่พบเห็นเป็นอย่างมาก จึงได้บอกต่อ ๆ กันไปให้มาดูความแปลกมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้น เมื่อทุกคนมาเห็นเข้ากับตาต่างก็พากันงึด (อัศจรรย์) เป็นที่สุด พอสว่างได้เวลาที่พระจะออกบิณฑบาต ต่างก็พากันไปกราบนมัสการให้หลวงปู่ทราบว่า ที่พวกเขาตกใจว่ากลัวจะไม่มีปลาร้ากินในวันนั้นปลาร้าได้มีอยู่เต็มไปหมดทุกไหแล้ว และต่างก็สอบถามหลวงปู่ว่าปลาร้ามีมาได้อย่างไร ใครเป็นผู้ให้มา ทำไมจึงมีมาได้ หลวงปู่ท่านไม่ตอบเช่นเคย ท่านหยิบเอาบาตรได้แล้วก็จะออกไปบิณฑบาตตามที่เคยปฏิบัติมา เพียงแต่วางหน้าเฉย ๆ และท่านได้เปรยขึ้นว่า “เออ...มีก็ดีเล้ว จะได้กินกันอีก ทำงานกันต่อไปเถอะ”


ในประวัติของเมืองท่าอุเทนได้มีผู้บันทึกถึงเรื่องหลวงปู่ว่าหลวงปู่ท่านข้ามโขง (แม่น้ำโขง) โดยไม่ต้องใช้เรือ เหตุนี้เกิดขึ้นที่อำเภอบ้านแพง ซึ่งสมัยนั้นเป็นเพียงตำบลหนึ่งเท่านั้น จากปากคำของคนที่เชื่อถือได้ กล่าวกันว่าผู้เปิดเผยเรื่องอภินิหารของหลวงปู่ คือ อดีตครูใหญ่ตำบลหนึ่ง ซึ่งนายอำเภอแต่งตั้งให้ไปเป็นครูผู้ใหญ่ในตำบลที่มีผีปอบมาก ๆ เพื่อให้ไปปราบผีและได้ผลเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างยิ่ง บรรดาผีที่เข้าสิงคนอยู่นั้น ถ้าได้เห็นครูคนนี้ขึ้นไปบนบ้านเท่านั้น ก็ร้องเสียงหลงทันที “ออกแล้ว ยอมแล้ว” ในปัจจุบันท่านผู้นี้อายุ ๘๓ ปี คือ อาจารย์ทอน กิตติศรีวรพันธุ์ แห่งบ้านเนินคนึง อำเภอบ้านแพง ในปัจจุบัน


อาจารย์ทอนได้เล่าให้ผู้ใกล้ชิดฟังว่า ในสมัยนั้นเขาได้พบกับสามเณรตัวเล็ก ๆ องค์หนึ่งซึ่งเป็นผู้ติดตาม หลวงปู่สีทัตถ์ ท่านออกเดินธุดงค์เพื่อแสวงหาสัจธรรมตามป่าเขาลำเนาไพรในระยะใกล้ ๆ เณรน้อยองค์นั้นก็ติดตามไปเพื่อปรนนิบัติท่าน เพื่อเป็นการเริ่มฝึกหัดการเจริญวิปัสสนากรรมฐานกับท่าน สามเณรองค์นี้ได้ถึงแก่มรณภาพไปแล้ว ก่อนที่จะมรณภาพ ก็ได้เล่าเรื่องหลวงปู่ให้ฟังว่า “วันหนึ่งหลังจากฉันอาหารเช้าแล้ว หลวงปู่จะพาข้ามไปฝั่งลาวเพื่อไปแสวงหาพระอาจารย์ดังทางฝั่งโน้น หลวงปู่ท่านได้พาเดินเลาะท่าเรือที่จะข้ามไปแต่ก็ไม่มีสักลำ ท่านพาเดินจนเหนื่อยจึงได้พบเรือแต่ไม่มีคนพายข้ามไป เณรน้อยจึงบอกกับหลวงปู่ว่า “ขอพักก่อนเถอะ เพราะเดินเหนื่อยแล้ว ผมเบื่อและเมื่อยเต็มที” หลวงปู่ท่านกล่าวกับเณรน้อยว่า “เฉย ๆ ไว้ ต้องไปให้ได้หลวงปู่จะพาไปเอง” จากนั้นท่านก็สั่งให้กลับหลังหัน แล้วให้ยืนนิ่ง ๆ พร้อมกับให้หลับตาให้สนิทจริง ๆ ขณะที่สั่งหลวงปู่ท่านอยู่ด้านหลัง และอยู่ห่างกันประมาณวาเศษ ๆ พอหลวงปู่ท่านสั่งแล้วเณรน้อยก็หลับตาตามที่ท่านสั่ง เณรก็คิดอยู่ในใจว่าหลวงปู่ท่านจะพาเราไปอย่างไรกันหนอพร้อมกับระลึกและจดจ่ออยู่ว่าเมื่อไรหลวงปู่ท่านจะให้ลืมตาสักที เมื่อหลับตาแล้วก็มืดมิดมองไม่เห็นอะไร


ทันใดนั้นเองหลวงปู่ก็พูดเป็นเสียงธรรมดาว่า “เอ้าถึงแล้ว ลืมตาได้” สามเณรน้อยลืมตาขึ้น และได้เห็นตัวเองกับหลวงปู่มายืนอยู่ที่ฝั่งประเทศลาวเสียแล้ว เมื่อมองดูที่ริมน้ำก็ไม่เห็นมีเรือเลย ปาฏิหาริย์แท้ ๆ ด้วย ความแปลกประหลาดและพิศวง ทำให้เณรน้อยผู้คอยอุปัฏฐากท่านอดรนทนไม่ไหว ใคร่อยากจะรู้ว่า หลวงปู่ท่านทำอย่างไรนะ ถึงได้ข้ามแม่น้ำโขงมาได้ จึงได้เอ่ยถามขึ้นว่า “หลวงปู่ครับ เราข้ามมาได้อย่างไร ใครดลบันดาลให้” แทนที่หลวงปู่ท่านจะตอบถึงสาเหตุที่สามารถข้ามแม่น้ำโขงมาได้ ท่านกลับตอบเป็นเชิงดุ ๆ ว่า “ไม่ใช่เรื่อง เอาล่ะ ไปกันได้แล้ว” ทำให้เณรน้อยยิ่งงงใหญ่ พลางก็เดินตามหลังหลวงปู่ท่านไป


จากปากคำบอกเล่าในบันทึกของอดีตนายอำเภอซึ่งได้รับคำไขขานบอกเล่าจากผู้เฒ่าผู้แก่ของเมืองท่าอุเทนเล่าให้ฟังว่า หลวงปู่ท่านหายตัวได้และย่อแผ่นดินจากกว้างให้แคบได้ เช่นเมืองท่าอุเทนอยู่ฝั่งไทย เมืองปากหินปูนอยู่ฝั่งลาว โดยมีแม่น้ำโขงกั้นกลางอยู่ แต่หลวงปู่ท่านก็มีความสามารถเดินข้ามได้อย่างสบาย มีเรื่องเล่าว่าในสมัยนั้นฝั่งลาวกับฝั่งไทยมีความรักใคร่กันดี เมื่อมีงานบุญก็จะบอกกล่าวถึงกันเป็นประจำ แม้จะมีแม่น้ำโขงขวางกั้นอยู่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด พระเณรจะถูกนิมนต์ให้ไปร่วมทำบุญและไปกันเป็นคณะ ซึ่งหลวงปู่ท่านก็กำลังมีชื่อเสียงโด่งดัง ท่านก็ถูกนิมนต์ไปด้วยเสมอ เพราะชาวฝั่งเมืองหินปูนต้องการชมบารมี และจะได้เห็นหน้าเห็นตาท่านชัด ๆ สักที เมื่อญาติโยมได้นิมนต์พระสงฆ์องค์เณรเรียบร้อยแล้วก็ได้พากันไปนิมนต์หลวงปู่สีทัตถ์ ซึ่งขณะนั้นท่านกำลังสั่งและควบคุมพวกช่างสร้างพระธาตุท่าอุเทนอยู่โดยขอนิมนต์ให้ท่านไปพร้อม ๆ กันหลาย ๆ รูปและหลายลำเรือและกล่าวกับท่านว่า “ชาวเมืองปากหินปูนกำลังรออยู่ ขอให้หลวงปู่ลงเรือไปด้วยกันให้จงได้ เพราะที่เรือได้เตรียมปูเสื่อน้อยให้สำหรับหลวงปู่อยู่แล้ว เพื่อจะได้ไปทันเจริญพระพุทธมนต์ก่อนเพลในโบสถ์ วัดปากหินปูน เสร็จแล้วก็จะได้ให้หลวงปู่ร่วมฉันเพลกับพระรูปอื่น ๆ ด้วย” หลวงปู่ท่านกล่าวกับญาติโยมว่า “ไปก่อนเถอะ จะสั่งเสียมอบหมายการงานให้ช่างสร้างพระธาตุท่าอุเทนเรียบร้อยแล้ว จะรีบตามไปให้ทันทีหลัง พวกญาติโยมก็พากันคะยั้นคะยออยู่หลายครั้ง หลวงปู่จึงหันหน้ามาบอกว่า “ไปเถอะ ไปก่อนเถอะ จะตามไปให้ทันทีหลัง ไม่ต้องห่วง” 


จากนั้นญาติโยมก็พากันลงเรือข้ามไปปากหินปูน พอไปถึงฝั่งปากหินไน ที่วัดกำลังมีงานผู้คนก็มาก ญาติโยมได้พาพระเณรจากฝั่งไทยเข้าโบสถ์ แต่เมื่อทุกคนมองเข้าไปในโบสถ์ ก็เกิดความสงสัยเป็นอย่างยิ่งเพราะพระเณรของเมืองปากหินปูน ต่างก็นั่งห้อมล้อมหลวงปู่สีทัตถ์อยู่อย่างเนืองแน่น สร้างความประหลาดใจไปตาม ๆ กัน เพราะเรือที่ตามมาติด ๆ กันมิได้เห็นมีสักลำ จะเข้าไปถามดูว่าท่านมาได้อย่างไรก็ไม่มีโอกาส เพราะมีพระอยู่มาก และกำลังประกอบกิจทางศาสนาอยู่ เมื่อเสร็จพิธีแล้ว ตอนบ่าย ๆ ญาติโยมก็พากันเดินทางกลับมายังเมืองท่าอุเทน ซึ่งหลวงปู่ท่านก็กลับมาด้วย พอมาถึงวัด ญาติโยมที่ฉงนสนเท่ห์เป็นอย่างมาก เพื่อให้หายสงสัยจึงไปกราบนมัสการถามหลวงปู่ว่า “หลวงปู่ไปถึงวัคปากหินปูนก่อนได้อย่างไร” ซึ่งหลวงปู่ท่านก็ตอบไปโดยเลี่ยง ๆ ว่า“ก็ตามกันไปนั่นแหละ ไม่เห็นหรือ ?” จากนั้นหลวงปู่ท่านก็พูดคุยไปในเรื่องอื่น ๆ อันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการสร้างพระธาตุว่า “งานของเรายังมีอีกมาก ช่วยกันเข้าจะได้เสร็จ ๆ ไป”


ต่อมาภายหลังเมื่อเสร็จจากการก่อสร้างพระธาตุบัวบกแล้ว ท่านก็ข้ามฝั่งโขงไปถึงธุดงคกรรมฐานอยู่ในป่าประเทศลาว หลังจากนั้นก็ได้มาสร้างมณฑปครอบรอยพระพุทธบาท (จำลอง) ที่บ้านโพนสัน ซึ่งการก่อสร้างก็สำเร็จไปด้วยดี หลวงปู่ท่านได้อยู่ที่วัดบ้านโพนสันอีก ๖ ปี ก็มรณภาพ ณ ที่วัดแห่งนั้น เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๓สิริอายุได้ ๗๕ ปีพอดี ก่อนมรณภาพ หลวงปู่ท่านสั่งเอาไว้ว่า “เมื่อเผาศพเสร็จแล้วให้เอากระดูกของท่านไปทิ้งลงในแม่น้ำโขงให้หมด ” ตังนั้น หลังจากเสร็จสิ้นพิธีศพของท่านแล้ว บรรดาศิษย์ทั้งหลายจึงนำอัฐิของท่านทิ้งลงในแม่น้ำโขงจนหมดสิ้น 


ในชีวิตของหลวงปู่สีทัตถ์พระผู้ใฝ่ในธรรมแห่งเมืองท่าอุเทน ท่านได้ออกเดินธุดงค์จงกรมไปหาความจริงถึงประเทศพม่า ลาว และทั่วภาคเหนือ-อีสาน ซึ่งมีสภาพเป็นป่าเขาลำเนาไพร อันเป็นสถานที่ยินดี เหมาะที่จะบำเพ็ญพลังจิต โดยมิได้ย่อท้อต่อภูมิประเทศและดินฟ้าอากาศแต่อย่างใด จิตใจของท่านจึงมั่นคง ไม่หวั่นไหว มุ่งแต่จะแสวงหาความจริงอันเป็นความจริง ดังคำสอนของพระพุทธรูปองค์ ท่านจึงเป็นพระอริยสงฆ์ที่ควรค่าแก่การยกย่องเป็นอย่างยิ่งองค์หนึ่ง

___________________________________________

กราบขอบพระคุณที่มาเรื่องราวดีๆจาก



เรียบเรียงข้อมูลรูปภาพโดยไทท่าอุเทน

__________________________________________