Ads 468x60px

ท่าอุเทนเมืองธรรมมะ พระธาตุสูงงาม แม่น้ำสองสี ไดโนเสาร์ล้านปี ประเพณีไทญ้อ
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ท่าอุเทน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ท่าอุเทน แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2561

โผล่แล้ว รอยพระพุทธบาทศักดิ์สิทธิ์ 2,000 ปี ใต้ลำน้ำโขง


เมื่อวันที่ 14 มี.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ จ.นครพนม ในช่วงนี้พบว่า ระดับน้ำโขงลดลงต่อเนื่อง หลังเข้าสู่ฤดูแล้ง ล่าสุดอยู่ที่ระดับประมาณ 3 -4 เมตร ทำให้หลายจุดเกิดสันดอนทรายเป็นบริเวณกว้างกลางลำน้ำโขง ถึงแม้จะเสี่ยงต่อการเกิดผลกระทบภัยแล้ง แต่ยังส่งผลดีต่อเรื่องการท่องเที่ยวช่วงหน้าแล้ง โดยเฉพาะบริเวณกลางลำแม่น้ำโขง หน้าวัดบ้านเวินพระบาท ต.เวินพระบาท อ.ท่าอุเทน


ตรงข้ามกับบ้านเวินเหนือ ฝั่งเมืองหินบูน แขวงคำม่วน สปป. ลาว ขณะนี้ระดับน้ำโขงลดลง จนทำให้โขดหินที่ประทับรอยพระพุทธบาทศักดิ์สิทธิ์กลางน้ำโขง อายุราว 2,000 ปี ได้เริ่มโผล่ขึ้นเหนือน้ำ หรือ ที่ชาวบ้านเรียกว่า รอยพระพุทธบาทเวินปลา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวไทย-ลาว เคารพนับถือมาตั้งแต่ยุคโบราณ ชาวบ้านเตรียมจัดบวงสรวง เปิดให้กราบไหว้ บูชา 1 ปี มีเพียงครั้งเดียว


ซึ่งในช่วงหน้าแล้งของทุกปี ถือว่าในรอบ 1 ปี จะโผล่ขึ้นมาให้ประชาชน นักท่องเที่ยว กราบไหว้บูชา ซึ่งถือเป็นสถานที่สำคัญที่ประชาชน นักท่องเที่ยว จะเดินทางมากราบไหว้สรงน้ำในช่วงหน้าแล้ง และช่วงเทศกาลสงกรานต์ของทุกปี


สำหรับ รอยพระพุทบาทเวินปลา แห่งนี้ จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ มีความสำคัญมากและถูกบันทึกไว้ในหนังสือใบลานตำนานพระอุรังคธาตุ สมัยสร้างพระธาตุพนมรุ่นแรก หรือกว่า 2,500 ปี มาแล้ว โดยได้ระบุไว้ว่า ครั้งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลังตรัสรู้ เดินทางมาเผยแพร่พระธรรมในชมภูทวีปลุ่มน้ำโขง ล่องมาตามลำแม่น้ำโขง

ได้มีเหล่าพญานาคใต้เมืองบาดาล และพญาปลาปากคำ ที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้แปลงกลายนิมนต์พระองค์ลงไปแสดงธรรมใต้บาดาล และก่อนที่พระองค์จะเสด็จขึ้นมาโลกมนุษย์เหล่าพญานาค พญาปลาปากคำ ได้ร้องขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์แทนพระองค์ไว้กราบไหว้บูชา พระพุทธเจ้าจึงได้ประทับรอยพระบาทไว้บนโขดหินแห่งนี้ คือ รอยพระพุทธบาทเวินปลา จนเป็นที่ปรากฎมาถึงทุกวันนี้

โดย รอยพระพุทธบาทเวินปลา จะอยู่ห่างจากริมตลิ่งประมาณ 100 เมตร ในช่วงหน้าฝนน้ำโขงเพิ่มระดับ จะจมอยู่ใต้น้ำไม่สามารถมองเห็นได้ จะโผล่ขึ้นมาเฉพาะช่วงหน้าแล้ง ที่น้ำโขงลดเท่านั้น

ซึ่งถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่กราบไหว้ ประชาชนทั้งชาวไทย ชาวลาว มาแต่อดีต และถือเป็นสถานที่สำคัญที่ประชาชน นักท่องเที่ยว จะได้มาร่วมกราบไหว้ สรงน้ำ ขอพรในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 1 ปีมีครั้งเดียว

ซึ่งในช่วงหน้าแล้ง หลังรอยพระพุทธบาทเวินปลา ทาง องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อบต.เวินพระบาท ร่วมกับชาวบ้านในพื้นที่ จะร่วมกันจัดพิธีบวงสรวงตามประเพณี และสร้างสะพานเชื่อมลงไปให้ประชาชน นักท่องเที่ยว ได้ไปชม และกราบไหว้ เพื่อเป็นสิริมงคล

ส่วนในช่วงหน้าฝนที่ไม่สามารถเห็นได้ ก็สามารถกราบไหว้บูชา รอยพระพุทธบาทเวินปลาจำลอง ที่จัดสร้างไว้ภายในวัด

ขอบพระคุณที่มาจาก
ไทยรัฐ
เจริญ ตันมหาพราน

วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2561

ข้าวเปียกเส้นไทญ้อ



ข้าวเปียกเส้น หรือ ก๋วยจั๊บญวน ถือว่าเป็นเมนูที่คุ้นชินของพี่น้องไทญ้อ ท่าอุเทน นครพนมบ้านเฮา ปัจจุบันมีขายตามห้างทั่วไป ทำให้จะไปอยู่ไหนก็สามารถทำกินได้ และเส้นก็มีแบบเส้นแห้ง และเส้นสด
วิธีการทำก็คงเป็นสูตรคล้ายๆกัน อันนี้ขอหยิบยกสูตรนครพนมเรานี่แหละ จาก baannoi.com มาให้พี่น้องลองทำดูเด้อ

  วัสดุส่วนผสมและเครื่องปรุง 
  • เส้นข้าวเปียก(ก๊วยจั๊บญวน) 1 กก สูตรนี้ใช้แบบเส้นสด 
  • กระดูกซี่โครงหมู 1-2 กก 
  • เลือดไก่ 4-5 ก้อน 
  • หมูยอ
  • หมูบด 1 กก 
  • เกลือ 1 ถ้วยเล็ก 
  • น้ำตาล 1 ถ้วยเล็ก 
  • น้ำมันหอย 1 ถ้วยเล็ก 
  • ซีอิ้วขาว 1 ถ้วยเล็ก 
  • ผงปรุงรส นิดหน่อย 
  • ต้นหอม 10 ต้น 
  • ผักชี 5 ต้น รากผักชี 5 ต้น 
  • กระเทียมกลีบเล็ก ครึ่งกก 
  • หอมแดง ครึ่งกิโล 
  • พริกป่น 1 ถ้วย (ไว้ทำน้ำพริกเผา) 
  • น้ำมันพืชไว้สำหรับเจียวกระเทียมและหอมแดง 
ขั้นตอนและวิธีการปรุงข้าวเปียกเส้น
  • ล้างกระดูกซี่โครงหมู สับเป็นชิ้นพอคำ
  • นำหม้อใส่น้ำประมาณเกือบ4 ส่วนของหม้อใบใหญ่
  • ต้มให้น้ำเดือดแล้วใส่กระดูกหมูและรากผักชีลงไปต้มให้เปื่อย
  • เส้นข้าวเปียกแบบสด ให้ล้างน้ำหนึ่งน้ำแล้วพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ
  • ล้างต้นหอมและผักชี ซอยบางๆไว้โรยหน้าเวลารับประทาน
  • หั่นหอมแดงบางๆ แล้วเจียวในน้ำมันไฟปานกลาง พอหอมและเหลืองตักขึ้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน
  • โขลกกระเทียมให้ละเอียด แล้วนำไปเจียวให้เหลืองหอมกรอบตักขึ้นพักไว้ น้ำมันไม่ต้องทิ้ง
  • เลือดไก่ให้หั่นเป็นชิ้นเล็กๆพอคำ แล้วนำน้ำร้อนมาแช่เลือดจะได้ไม่เละ และไม่มีกลิ่นคาว
  • พอน้ำซุปเริ่มเดือดและหมูเริ่มเปื่อยแล้วให้ปรุงรสด้วย น้ำมันหอย,เกลือ,น้ำตาล,ซีอิ้วขาว,ผงปรุงรส ถ้าอยากเพิ่มความนัวของน้ำซุปก็ให้ใส่รสดีลงไปด้วยก็ได้ เคี่ยวไว้สักพัก
ตั้งกะทะพอร้อนใส่น้ำมันที่ใช้ในการเจียวกระเทียมและหอม ประมาณ 1 ทัพพีนำหมูบดลงไปรวน ปรุงรสหมูบดให้กลมกล่อม ด้วยซีอิ้วขาว,น้ำมันหอย อย่างละ 1 ช้อนโต๊ะ คลุกเคล้าให้เข้ากันให้หมูสุกประมาณ 80 % แล้วนำลงไปเทลงในหม้อน้ำซุปได้เลย เป็นอันเสร็จทุกขั้นตอนการทำน้ำซุปของเส้นข้าวเปียก

ถ้าเรารับประทานเลยก็ให้ ใส่เส้นข้าวเปียกและเลือดลงไปในหม้อเลยแต่ถ้ายังก็ให้ต้มแยกเป็นหม้อเล็กๆทีละชามสองชามก็ได้ เส้นจะได้ไม่อืด

สูตรน้ำพริกเผา 
  • พริกป่น 1 ถ้วยเล็ก 
  • ใส่เกลือ 1 ช้อนชา
  • น้ำตาล 1 ช้อนชา
  • ผงปรุงรสนิดหน่อยจะได้นัวๆ 
  • กระเทียมเจียวและน้ำมันที่เจียว
  • แล้วตักน้ำซุปที่เราต้มตอนร้อนๆเติมลงไป คนให้เข้ากัน 
ขอบคุณที่มาเมนูเด็ด 

วันอังคารที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2561

ประกาศเตือนพายุฤดูร้อนถล่ม พายุลูกเห็บซัดด้วย!!


กรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศพายุฤดูร้อนบริเวณประเทศไทยตอนบน (มีผลกระทบตั้งแต่วันที่ 7-9 มีนาคม 2561) ฉบับที่ 1 ลงวันที่ 04 มีนาคม 2561 ระบุว่าในช่วงวันที่ 7-9 มีนาคม 2561 ประเทศไทยตอนบนจะมีพายุฤดูร้อนเกิดขึ้น

โดยมีลักษณะของพายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง กับมีลูกเห็บตกบางพื้นที่ โดยจะเริ่มในภาคตะวันออกเฉียงเหนือก่อน ส่วนภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก รวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จะได้รับผลกระทบในวันถัดไป

จึงขอให้ประชาชนบริเวณดังกล่าวหลีกเลี่ยงการอยู่ในที่โล่งแจ้ง ใต้ต้นไม้ใหญ่ และป้ายโฆษณาที่ไม่แข็งแรง ในขณะที่เกิดพายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรง ในช่วงวันและเวลาดังกล่าว สำหรับเกษตรกรควรระวังความเสียหายที่จะเกิดต่อผลผลิตทางการเกษตรไว้ด้วย

 ทั้งนี้เนื่องจากบริเวณความกดอากาศสูงจากประเทศจีนจะแผ่ลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบนและทะเลจีนใต้ โดยจะเริ่มแผ่เข้ามาปกคลุมบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยในวันที่ 7 มีนาคม 2561

ในขณะที่บริเวณประเทศไทยตอนบนมีอากาศร้อน ทำให้บริเวณดังกล่าวเกิดพายุฤดูร้อน โดยมีพายุฝนฟ้าคะนองและลมกระโชกแรงกับมีลูกเห็บตกบางพื้นที่ จึงขอให้ประชาชนติดตามประกาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด

ขอบพระคุณที่มาจาก : ข่าวสด

วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2561

ทำได้แม้กระทั่งคนแก่ ทุบหัวยายชิงทอง


เมื่อวันที่ 5 มี.ค. ที่ สภ.ศรีสงคราม จ.นครพนม พล.ต.ต.สุวิชาญ ญาณกิตติกุล ผบก.ภ.จว.นครพนม พ.ต.อ.กิตติศักดิ์ จันทร์ศรี ผกก.สภ.ศรีสงคราม เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวน สภ.ศรีสงคราม พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน บก.ภ.จว.นครพนม ได้นำตัวนางมา เกษมสุข อายุ 84 ปี ผู้เสียหายหลังถูกคนร้ายชิงทรัพย์ทองคำหนัก 7 บาท และเงินสด 61,000 บาท ไปชี้จุดเกิดเหตุ เพื่อเป็นเบาะแสเร่งติดตามตัวคนร้าย


โดยเหตุเกิดเมื่อวันที่ 2 มี.ค.ที่ผ่านมา นางมา กล่าวว่า เมื่อเวลาประมาณ 05.30 น. วันดังกล่าว ขณะที่ตนตื่นมาปั่นจักรยานเพื่อออกกำลังกายตามปกติ บริเวณถนนภายในหมู่บ้าน มุ่งหน้ามาทางปากซอยเทศบาล 6/1 ถนนศรีสงคราม-ท่าแร่ ต.ศรีสงคราม กระทั่งมาถึงที่เกิดเหตุห่างปากซอย 30 เมตร ได้มีคนร้ายชายอายุประมาณ 30-40 ปี ใช้เสื้อยืดปิดบังใบหน้า มีหน้ากากอนามัยปิดทับอีกชั้น ตรงดิ่งเข้ามาด้านหลังค้นหาทรัพย์สินในตะกร้าท้ายรถ ก่อนใช้มือขวาล้วงในเสื้อที่สวมใส่ หยิบเงินสด 61,000 บาท เป็นธนบัตรฉบับละ 1,000 บาทจำนวน 61 ฉบับ พร้อมกระปุกยาพาราเซตามอล ภายในบรรจุสร้อยคอทองคำหนัก 5 บาท จำนวน 1 เส้น , แหวนทองคำลายมังกร น้ำหนัก 0.5 บาท 2 วง, พระหลวงพ่อคูณเลี่ยมทองหนัก 1 บาท 1 วง รวมมูลค่า 341,000 บาท


นางมา เล่าต่ออีกว่า ขณะที่คนร้ายกำลังชิงทรัพย์ ตนได้พยายามยื้อแย่งทรัพย์สินคืนจากคนร้าย แต่คนร้ายได้ใช้มือซ้ายทุบบริเวณศีรษะตน จนพลัดตกจากรถจักรยานบาดเจ็บ หลังคนร้ายก่อเหตุได้ขี่รถจยย.ไม่ทราบยี่ห้อและทะเบียน หลบหนีไปท้ายซอย ซึ่งตนมีอาการมึนบริเวณศีรษะจากการที่ถูกคนร้ายทำร้ายร่างกาย หลังตั้งสติได้จึงพยายามลุกขึ้นและปั่นจักรยานคันดังกล่าว เพื่อไล่ติดตามตัวคนร้าย แต่ปรากฏว่าหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว


“หลังเกิดเหตุยายจึงรีบปั่นจักรยานมาพบนางพวงเพ็ญ จันทรโคตร เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้กันเพื่อขอความช่วยเหลือ นางพวงเพ็ญ จึงแจ้งให้ลูกชาย ให้ไปบอกเพื่อนบ้านอีกคน โทรศัพท์แจ้งให้นายประมวล เกษมสุข ลูกชายของตนทราบ ส่วนเพื่อนบ้านได้นำตัวตนส่ง ร.พ.ศรีสงครามในเวลาต่อมา” นางมา กล่าว ภายหลัง พล.ต.ต.สุวิชาญ สอบปากคำนางมา โดยละเอียด จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน พร้อมตรวจเก็บดีเอ็นเอของคุณยายมา เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอของคนร้ายที่ปรากฏในเสื้อของผู้เสียหาย พร้อมประชุมทีมชุดสืบสวนเพื่อเป็นแนวทาง และหาเบาะแสในการสืบสวนสอบสวน เพื่อจะเร่งติดตามตัวคนร้ายรายนี้มาดำเนินคดีต่อไป

ขอบคุณที่มาจาก
ข่าวสด
Workpoint
sanook

วันจันทร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2561

นรข.นครพนม สกัดยึดรถกระบะสี่ประตู 2 คัน คาแพกลางน้ำโขง


 นรข.นครพนม สกัดยึดรถกระบะสี่ประตู 2 คัน คาแพกลางน้ำโขงเตรียมส่งขายข้ามชาติ คาดรถยนต์ มาจากโจรกรรม และบ่อนจำนำ เข้มชายแดนไทยลาว


เมื่อวันที่ 15 ม.ค. 61 ที่หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง นครพนม พล.ร.ต.พิสิษฐ์ ทองดีเลิศ ผู้บัญชาการ หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง นครพนม (นรข.) สั่งการให้ น.อ.กษิดิ กลิ่นศรีสุข ผบ.นรข.เขตนครพนม พร้อมด้วย ว่าที่ ร.ต.ภูมิศักดิ์ ขำปู่ นายอำเภอท่าอุเทน พ.ต.อ.ธานัท จิราธนะกุล ผกก.สภ.ท่าอุเทน ) น.ท.อดิศักดิ์ ภานุโรจนากร หน.สน.เรือนครพนม ร่วมกับ ตำรวจน้ำ ตชด.236 และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง แถลงการณ์ตรวจยึดรถยนต์กระบะโจรกรรมข้ามชาติ จำนวน 2 คัน คือ รถยนต์กระบะโตโยต้าวีโก้ 4 ประตู สีขาว หมายเลขทะเบียน กพ 8557 นครศรีธรรมราช และ โตโยต้าวีโก้ 4 ประตู สีขาว ทะเบียน กร 7764 ภูเก็ต พร้อมเรือแพดัดแปลงติดเครื่องยนต์ 2 ลำ



โดยตรวจยึดได้ เมื่อเวลา 20.00 น. ของเมื่อคืนที่ผ่านมา บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง บ้านท่าจำปา อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม ภายหลังเจ้าหน้าที่สืบทราบว่า จะมีการลักลอบขนส่งรถยนต์โจรกรรมข้ามชาติ ส่งไปขายประเทศเพื่อนบ้าน สปป.ลาว จึงระดมกำลังวางแผนเข้าสกัดกั้นปราบปรามจับกุม จนกระทั่งพบกลุ่มชายต้องสงสัย ประมาณ 7 -10 คน กำลังช่วยกันลำเลียงรถยนต์ดังกล่าวลงเรือหางยาว ที่ดัดแปลงต่อเป็นแพ เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวเข้าตรวจค้นจับกุม ทำให้กลุ่มผู้กระทำผิดทิ้งรถยนต์หนี และอาศัยความมืดหายไป จึงได้ทำการตรวจยึดรถยนต์ของกลางมาตรวจสอบที่สถานนีเรือนครพนม


เบื้องต้นจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่เชื่อว่า รถยนต์ดังกล่าวจะเป็นรถยนต์ของขบวนการโจรกรรมรถยนต์ข้ามชาติ ที่ลักลอบนำมาเตรียมส่งไปขายประเทศเพื่อนบ้าน ที่เคยมีการจับกุมหลายครั้ง โดยจะใช้วิธีการลำเลียงลงเรือหางยาวส่งต่อไปขาย ในราคาคันละประมาณ 2 -3 แสนบาท ตามสภาพ ส่วนใหญ่จะเป็นรถยนต์กระบะ ประเภทยกสูง ยี่ห้อโตโยต้าเป็นหลัก เพราะเป็นที่นิยมของตลาดโจรกรรมรถยนต์ข้ามชาติ ซึ่งรถยนต์คันดังกล่าวจากการาตรวจสอบเอกสารพบชื่อผู้ครอบครอง และเอกสารสัญญาซื้อขาย และหนังสือมอบอำนาจ ซึ่งจะได้เร่งตรวจสอบขยายผล สอบสวนหาที่มา รวมถึงสอบสาวนเจ้าของรถว่ามีส่วนรู้เห็นหรือไม่ ดำเนินคดีตามกฎหมาย


สำหรับที่มาของรถยนต์ส่วนใหญ่ จะมีที่มาประกอบด้วย รถยนต์ที่ได้จากการโจรกรรม รวมถึงรถยนต์ที่ดาวน์มาในราคาต่ำ แล้วส่งต่อไปขาย และยังมีรถยนต์ส่วนใหญ่ที่นำส่งออกไปขาย คือรถยนต์ที่นำมาจากการจำนำบ่อนการพนัน โดยทางเจ้าหน้าที่จะได้เร่งสืบสวนขยายผล ติดตามผู้ร่วมขบวนการมาดำเนินคดี พร้อมเพิ่มมาตรการเข้มในการสกัดกั้นปราบปรามจับกุม ตามพื้นที่แนวชายแดน

________________

ขอบพระคุณที่มาจาก
ประทีป วชิรธัญญากุล ผสข.T-news ประจำจังหวัดนครพนม
________________

วันอาทิตย์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2561

ประวัติหลวงปูสีทัตถ์ (lp-seetud)


ในประวัติเมืองท่าอุเทน ซึ่งเขียนโดย นายเมธี ดวงสงค์ ได้เขียนถึงประวัติของหลวงปู่สีทัตถ์พระอาจารย์ผู้สร้างพระธาตุท่าอุเทนเอาไว้ว่า หลวงปู่สีทัตถ์ท่านบวชถึง ๓ ครั้ง และได้ลาสึกถึง ๒ ครั้ง ส่วนสาเหตุที่ทำให้ท่านต้องลาสิกขาบทออกไป แล้วเข้ามาบวชอีกว่า เป็นเพราะมีเรื่องทางโลกเข้ามารบกวนความสงบของท่านกล่าวคือ มีเหตุอันเป็นกระแสแห่งโลกทำให้ท่านต้องสึกไปแต่งงานซ้ำแล้วซ้ำอีก ชาวบ้านที่เคารพนับถือท่านบางคนก็กล่าวว่า สาเหตุที่หลวงปู่สีทัตถ์ท่านลาสิกขาไปนั้น คงเนื่องมาจากมี พระบาง อยู่ในวัด แต่มูลเหตุดังกล่าวนี้ก็เป็นความเข้าใจของคนบางคนเท่านั้นจะมีความจริงเท็จแค่ไหนเพียงไรก็ยากที่จะนำมาพิสูจน์กัน


พระบางนี้ได้มีผู้เล่าสืบต่อกันมาว่า ได้มีการสร้างขึ้นในประเทศลาว โดยคณะกรรมการ ๒ ฝ่ายเป็นผู้ร่วมกันสร้างขึ้นคือฝ่ายสงฆ์มี สมเด็จเหมมะวันนา เป็นประธาน ส่วนฝ่ายฆราวาส มีพญาแมงวัน(มีรูปแมลงวันติดอยู่ที่หน้าผาก) ผู้เป็นเจ้าเมืองเหิบ ประเทศลาวเป็นประธาน ในครั้งนั้นได้หล่อพระที่มีขนาดเท่ากันขึ้น ๒ องค์ องค์หนึ่งเป็นพระขัดสมาธิ (ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่บ้านดอนติ้ว เมืองหินปูน ประเทศลาว) องค์ที่สองนั้นเป็นพระยืนปางห้ามสมุทร คือพระบาง ซึ่งปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดไตรภูมิ ตำบลท่าอุเทน อำเภอท่าอุเทนจังหวัดนครพนม 


หลังจากได้อัญเชิญพระบางจากประเทศลาวมาประดิษฐานที่วัดพระธาตุท่าอุเทนได้ไม่นาน ก็ต้องย้ายไปประดิษฐานยังวัดไตรภูมิ ส่วนสาเหตุที่ต้องย้ายที่ประดิษฐานพระบางจากวัดพระธาตุท่าอุเทนไปประดิษฐานไว้ที่วัดไตรภูมินั้นก็สืบเนื่องมาจาก หลวงปู่สีทัตถ์ ท่านต้องลาสึกถึง ๒ ครั้งนั่นเอง ทั้งนี้เพราะเป็นความเชื่อถือของชาวบ้านว่า พระบางเป็นพระที่ไม่ให้คุณ มีอาถรรพณ์ทำให้หลวงปู่สีทัตถ์ ซึ่งเป็นพระอาจารย์ที่มีผู้เคารพนับถือมากในลุ่มแม่น้ำโขง ตลอดจนถึงฝั่งลาวต้องลาสึก


ซึ่งเรื่องราวมีว่า หลังจากหลวงปู่สีทัตถ์ท่านเข้ามาบวชเป็นครั้งที่สองนั้น ท่านมักจะออกแสวงหาความวิเวกตามสถานที่สงบต่างๆอยู่เสมอ และการอุปสมบทครั้งที่สองของท่านนั้น ท่านอุปสมบทหลังจากที่พระบางได้มาประดิษฐานอยู่ที่วัดพระธาตุท่าอุเทนแล้ว คือหลังปี พ.ศ. ๒๔๕๐ ส่วนสาเหตุที่ท่านต้องสึกอีกครั้งนั้น มีเรื่องเล่าว่า ท่านพร้อมกับลูกศิษย์องค์หนึ่งได้ถือธุดงคกรรมฐานไปที่ฝั่งลาว วันหนึ่ง ขณะที่ท่านนั่งกรรมฐานอยู่นั้น ท่านได้ยินเสียงร้องรำของหญิงสาวชาวบ้านมีความไพเราะจับใจมาก ถึงขนาดตัดสินใจลาสิกขาบทในคืนวันนั้นทันที หลวงปู่ท่านได้ลาสิกขาเปลื้องผ้ากาสาวพัสตร์แล้ว ไปสู่ขอหญิงสาวชาวบ้านผู้ที่ร้องรำคนนั้นกับบิตามารดาทันที ซึ่งบิดามารดาของหญิงสาวก็ไม่ขัดข้องเพราะมีความเคารพนับถือท่านมากอยู่แล้ว การลาสิกขาบทของท่านสร้างความประหลาดแก่ผู้พบเห็นในเวลานั้นเป็นอย่างยิ่ง เพราะจู่ ๆ พระผู้ทรงศีลาจารวัตรอันงดงาม ต้องมาพ่ายแพ้กิเลสอันเป็นตัวมารอย่างง่าย ๆ เช่นนั้นจึงทำให้ชาวบ้านคิดไปว่าคงเป็นเพราะพระบางที่อยู่ในวัดมีอาถรรพณ์จึงบันดาลให้ท่านเป็นไป ต่างลงความเห็นกันว่าไม่สมควรเอาไว้ จึงได้พากันย้ายพระบางออกจากวัดพระธาตุท่าอุเทน ไปอยู่วัดไตรภูมิตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา


หลวงปู่สีทัตถ์ ท่านเป็นพระที่มีบุญญาบารมีสูงยิ่งจริง ๆ และท่านมีอภินิหารแก่กล้ามาก ท่านสามารถก่อสร้างพระธาตุต่าง ๆ สำเร็จมาแล้วหลายแห่ง เช่น 

๑. พระธาตุท่าอุเทน อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม
 ๒. พระธาตุพระพุทธบาทบัวบก อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี 
๓. มณฑปโพนสัน ประเทศลาว

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสร้างพระธาตุท่าอุเทน นั้น หลวงปู่สีทัตถ์ท่านมีความสามารถสร้างเหมือนพระธาตุพนมสมัยก่อนได้ทั้งๆ ที่ฐานรองรับก็เพียงขุดหลุมแล้วใส่หินนางเรียง หรือหินแก้วนางฝาน เป็นฐานรองรับพระธาตุซึ่งยังไม่ทรุดแต่ประการใด


และมีอายุยาวนานมากว่า ๗๐ ปีแล้ว นับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์มิใช่น้อยที่คนในสมัยนี้คงไม่มีบารมีก่อสร้างได้เช่นท่าน เพราะการนำเอาหินแก้วนางฝานมารองรับองค์พระธาตุได้นี้ นับว่าเป็นอภินิหารอันแก่กล้าของท่านเหนือโลกจริง ๆ


ในระหว่างที่หลวงปู่สีทัตถ์ทำการก่อสร้างองค์พระธาตุท่าอุเทนนั้น (ในราว พ.ศ. ๒๔๕๖) ได้มีพระครูสมุห์วรคณิสรสิทธิการ ซึ่งทางฝ่ายคณะสงฆ์จากกรุงเทพฯ ได้แต่งตั้งให้เป็นผู้แทนหัวหน้าสงฆ์ มาตรวจการทางภาคอีสาน ครั้นมาถึงจังหวัดหนองคายได้ข่าวว่าหลวงปู่สีทัตถ์ เป็นผู้มีอิทธิพลมาก และแสดงปาฏิหาริย์ต่างๆ ได้ เช่น ล่องหนหายตัว ย่อแผ่นเดินให้แคบเข้า และ ข้ามแม่น้ำโขงได้โดยไม่ต้องใช้เรือ มีผู้คนเลื่อมใสมากและได้ซ่องสุมผู้คนเพื่อจะกบฏต่อกรุงเทพฯ


พระคูรสมุห์วรฯ จึงคิดจะมาจับเอาตัวท่านหลวงปู่ลงไปกรุงเทพฯ ความจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นข่าวลือที่เกิดขึ้น เพราะหลวงปู่ท่านเป็นคนสุภาพอ่อนโยน รักความสงบ และถ่อมตนอยู่เสมอเป็นผู้ตั้งอยู่ในสุจริตปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดต่อพระธรรมวินัย จึงทำให้มีผู้ศรัทธาเลื่อมใสท่านมาก หลวงปู่ท่านไม่ได้แสดงปาฏิหาริย์ ท่านตั้งใจสร้างพระธาตุเจดีย์โดยบริสุทธิ์ใจ แต่ก็มีผู้ไม่หวังดีใส่ร้ายท่าน ซึ่งเรียกว่าเป็นตัวมารโดยแท้


พระครูสมุห์วรฯ เมื่อโดยสารเรือล่องลงมาจากจังหวัดหนองคายมาถึงท่าอุเทนแล้ว ก็จอดหรือตรงท่าวัดกลาง ซึ่งขณะนั้นมีหาดทรายติดกับตลิ่งฝั่งท่าอุเทนยื่นไกลออกไปสู่กลางแม่น้ำโขงประมาณ ๑๐ เส้น และเมื่อพระครูสมุห์วรฯ มาถึงก็มีข้าราชการ พ่อค้า ประชาชนออกมาให้การต้อนรับพอสมควร ท่านได้ขึ้นไปวัดอรัญญวาสี เพื่อจะจับเอาหลวงปู่สีทัตถ์ แต่ก็ไปไม่ถึงวัด ไปถึงแค่หน้าที่ว่าการอำเภอก็แวะเข้าไปพักอยู่ที่นั่น เมื่อมีผู้ไปถามท่านว่า “ทำไมไม่ไปให้ถึงวัด” ท่านก็ตอบว่า “กลัวพระสีทัตถ์จะสั่งให้ลูกน้องทำอันตราย”


พระคูรองค์นั้นได้โทรเลขให้ พระพนมนราฯรักษ์ (อุ้ย นาครทรรพ) ผู้ว่าฯ นครพนมในสมัยนั้น ให้ขึ้นมาจับเอาตัวหลวงปู่สีทัตถ์เอง แต่กลับได้รับคำตอบกลับไปว่า “ท่านอาจารย์สีทัตถ์มิได้คิดกบฏซ่องสุมผู้คนอะไรเลย หากแต่ท่านสร้างพระธาตุเจดีย์และมีผู้คนมาจากอำเภอและจังหวัดต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้เดียงเดินทางมาช่วยท่าน โดยหวังผลในส่วนกุศลเท่านั้น มิได้คิดเป็นอย่างอื่นดังที่พระคุณเจ้าเข้าใจ และตัวท่านพระอาจารย์สีทัตถ์เองก็อยู่ในศีลธรรมอันดี รักความสงบไม่มีจิตคิดอิจฉาและชิงดีคนอื่น” เมื่อพระครูสมุห์วรฯ ทราบความจริงเช่นนั้น จึงเดินทางต่อไปยังเมืองนครพนม เหตุการณ์ก็เป็นอันสงบไป 


ส่วนทางฝ่ายวัดอรัญญวาสี เมื่อทราบข่าวว่ามีพระภิกษุมาจากกรุงเทพฯ จะมาจับเอาตัวหลวงปู่ซึ่งท่านก็ไม่ได้สะทกสะท้านแต่อย่างใด ท่านยังสั่งให้พระลูกศิษย์เตรียมปูอาสนะให้ด้วย และท่านก็ยังคงทำงานก่อสร้างพระธาตุของท่านไปเรื่อย ๆ ต่อมาได้มี พระอาจารย์ปาน ซึ่งมาจากบ้านใหม่ ดอนสังคี อำเภอโพนพิสัย กับ พระอาจารย์ยอดแก้ว และ พระอาจารย์ปิ่น ได้มาขอสู้แทนหลวงปู่ซึ่งท่านก็กล่าวว่า “พระคูรสมุห์ฯ ไม่มาดอก อย่าวุ่นวายไปเลย” และก็ไม่มาจริง ๆ


เรื่องอภินิหารที่เกิดจากบุญญาบารมีของผู้สร้าง คือหลวงปู่สีทัตถ์นี้ได้มีผู้กล่าวกันว่า ได้แสดงอภินิหารด้วยการเรียกปลาร้ามาเลี้ยงคนงานที่มาก่อสร้างองค์พระธาตุอย่างอัศจรรย์ยิ่ง ซึ่งเรื่องมีอยู่ว่า ในการสร้างพระธาตุท่าอุเทนนั้น อาหารหลักที่จะนำมาเลี้ยงคนทั่วไปก็คือ ปลาแดก (ปลาร้า) กับผักสด และปลาแห้ง หลวงปู่สีทัตถ์ท่านได้ตั้งโรงครัวเพื่อให้คนงานที่ออกแรงปั้นอิฐ (ดินจี่) เผาอิฐ ได้รับประทานกัน ซึ่งมีจำนวนเป็นร้อย ๆ (รวมทั้งพระภิกษุสามเณรด้วย) 


เย็นวันหนึ่ง หลวงปู่ได้เดินตรวจดูความเรียบร้อยของงานที่ผ่านไปวันหนึ่ง ๆ และท่านได้มายืนคุยกับญาติโยมที่กำลังพากันรับประทานอาหารเย็นอยู่ พวกแม่ครัวจึงพากันนมัสการท่านว่า “วันนี้ปลาร้าหมดไหแล้วพรุ่งนี้จะไม่มีปลาร้าประกอบอาหารอีก” หลวงปู่ท่านได้ยินแล้วก็ไม่ตอบอะไรได้แต่ยิ้ม ๆ และหัวเราะหึ ๆ ในลำคอเท่านั้น และท่านได้เดินมาดูไหปลาร้าที่ว่างเปล่ากว่า ๑๐ ไห แต่ท่านก็ไม่ได้แสดงอาการวิตกกังวล หรือมีคำสั่งในเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด ทำให้พวกแม่ครัวพากันห่วงยิ่งขึ้นและคิดไปว่า “เอ... หลวงปู่เรานี่ จะเอาอย่างไรนะ ปลาร้าหมดไห บอกให้รู้ก็ทำเป็นเฉย ๆ อยู่ จะเอาอย่างไรก็ดี จะให้ทำอย่างไรก็ไม่บอก” ก่อนที่หลวงปู่ท่านจะเดินจากไป ท่านก็พูดเปรย ๆ ขึ้นว่า “กินข้าวกินปลากันไปเถอะแล้วจะมีคนเอามาให้” คำพูดของหลวงปู่ครั้งนั้นทำให้พวกแม่ครัวพากันฉงนอยู่มิใช่น้อย จากนั้นต่างก็ช่วยกันเก็บล้างถ้วยชามทำความสะอาด แล้วปิดประตูโรงครัวเพื่อกันไม่ให้สุนัขหรือแมวเข้าไปรบกวนแล้วก็พากันเข้าไปนอน


พอวันรุ่งขึ้นพวกแม่ครัวก็พากันมาติดไฟนึ่งข้าวเหนียวเพื่อเตรียมไว้ให้พวกที่สร้างพระธาตุได้กินกันก่อนทำงาน ปรากฏการณ์อันแปลกประหลาดก็เกิดขึ้นแก่แม่ครัวได้อัศจรรย์กันไปตาม ๆ กัน เพราะบรรดาไหปลาร้าที่ว่างเปล่าเมื่อเย็นวานนี้ กลับมีปลาร้าเต็มไหหมด สร้างความฉงนสนเท่ห์แก่ทุกคนที่พบเห็นเป็นอย่างมาก จึงได้บอกต่อ ๆ กันไปให้มาดูความแปลกมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้น เมื่อทุกคนมาเห็นเข้ากับตาต่างก็พากันงึด (อัศจรรย์) เป็นที่สุด พอสว่างได้เวลาที่พระจะออกบิณฑบาต ต่างก็พากันไปกราบนมัสการให้หลวงปู่ทราบว่า ที่พวกเขาตกใจว่ากลัวจะไม่มีปลาร้ากินในวันนั้นปลาร้าได้มีอยู่เต็มไปหมดทุกไหแล้ว และต่างก็สอบถามหลวงปู่ว่าปลาร้ามีมาได้อย่างไร ใครเป็นผู้ให้มา ทำไมจึงมีมาได้ หลวงปู่ท่านไม่ตอบเช่นเคย ท่านหยิบเอาบาตรได้แล้วก็จะออกไปบิณฑบาตตามที่เคยปฏิบัติมา เพียงแต่วางหน้าเฉย ๆ และท่านได้เปรยขึ้นว่า “เออ...มีก็ดีเล้ว จะได้กินกันอีก ทำงานกันต่อไปเถอะ”


ในประวัติของเมืองท่าอุเทนได้มีผู้บันทึกถึงเรื่องหลวงปู่ว่าหลวงปู่ท่านข้ามโขง (แม่น้ำโขง) โดยไม่ต้องใช้เรือ เหตุนี้เกิดขึ้นที่อำเภอบ้านแพง ซึ่งสมัยนั้นเป็นเพียงตำบลหนึ่งเท่านั้น จากปากคำของคนที่เชื่อถือได้ กล่าวกันว่าผู้เปิดเผยเรื่องอภินิหารของหลวงปู่ คือ อดีตครูใหญ่ตำบลหนึ่ง ซึ่งนายอำเภอแต่งตั้งให้ไปเป็นครูผู้ใหญ่ในตำบลที่มีผีปอบมาก ๆ เพื่อให้ไปปราบผีและได้ผลเป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างยิ่ง บรรดาผีที่เข้าสิงคนอยู่นั้น ถ้าได้เห็นครูคนนี้ขึ้นไปบนบ้านเท่านั้น ก็ร้องเสียงหลงทันที “ออกแล้ว ยอมแล้ว” ในปัจจุบันท่านผู้นี้อายุ ๘๓ ปี คือ อาจารย์ทอน กิตติศรีวรพันธุ์ แห่งบ้านเนินคนึง อำเภอบ้านแพง ในปัจจุบัน


อาจารย์ทอนได้เล่าให้ผู้ใกล้ชิดฟังว่า ในสมัยนั้นเขาได้พบกับสามเณรตัวเล็ก ๆ องค์หนึ่งซึ่งเป็นผู้ติดตาม หลวงปู่สีทัตถ์ ท่านออกเดินธุดงค์เพื่อแสวงหาสัจธรรมตามป่าเขาลำเนาไพรในระยะใกล้ ๆ เณรน้อยองค์นั้นก็ติดตามไปเพื่อปรนนิบัติท่าน เพื่อเป็นการเริ่มฝึกหัดการเจริญวิปัสสนากรรมฐานกับท่าน สามเณรองค์นี้ได้ถึงแก่มรณภาพไปแล้ว ก่อนที่จะมรณภาพ ก็ได้เล่าเรื่องหลวงปู่ให้ฟังว่า “วันหนึ่งหลังจากฉันอาหารเช้าแล้ว หลวงปู่จะพาข้ามไปฝั่งลาวเพื่อไปแสวงหาพระอาจารย์ดังทางฝั่งโน้น หลวงปู่ท่านได้พาเดินเลาะท่าเรือที่จะข้ามไปแต่ก็ไม่มีสักลำ ท่านพาเดินจนเหนื่อยจึงได้พบเรือแต่ไม่มีคนพายข้ามไป เณรน้อยจึงบอกกับหลวงปู่ว่า “ขอพักก่อนเถอะ เพราะเดินเหนื่อยแล้ว ผมเบื่อและเมื่อยเต็มที” หลวงปู่ท่านกล่าวกับเณรน้อยว่า “เฉย ๆ ไว้ ต้องไปให้ได้หลวงปู่จะพาไปเอง” จากนั้นท่านก็สั่งให้กลับหลังหัน แล้วให้ยืนนิ่ง ๆ พร้อมกับให้หลับตาให้สนิทจริง ๆ ขณะที่สั่งหลวงปู่ท่านอยู่ด้านหลัง และอยู่ห่างกันประมาณวาเศษ ๆ พอหลวงปู่ท่านสั่งแล้วเณรน้อยก็หลับตาตามที่ท่านสั่ง เณรก็คิดอยู่ในใจว่าหลวงปู่ท่านจะพาเราไปอย่างไรกันหนอพร้อมกับระลึกและจดจ่ออยู่ว่าเมื่อไรหลวงปู่ท่านจะให้ลืมตาสักที เมื่อหลับตาแล้วก็มืดมิดมองไม่เห็นอะไร


ทันใดนั้นเองหลวงปู่ก็พูดเป็นเสียงธรรมดาว่า “เอ้าถึงแล้ว ลืมตาได้” สามเณรน้อยลืมตาขึ้น และได้เห็นตัวเองกับหลวงปู่มายืนอยู่ที่ฝั่งประเทศลาวเสียแล้ว เมื่อมองดูที่ริมน้ำก็ไม่เห็นมีเรือเลย ปาฏิหาริย์แท้ ๆ ด้วย ความแปลกประหลาดและพิศวง ทำให้เณรน้อยผู้คอยอุปัฏฐากท่านอดรนทนไม่ไหว ใคร่อยากจะรู้ว่า หลวงปู่ท่านทำอย่างไรนะ ถึงได้ข้ามแม่น้ำโขงมาได้ จึงได้เอ่ยถามขึ้นว่า “หลวงปู่ครับ เราข้ามมาได้อย่างไร ใครดลบันดาลให้” แทนที่หลวงปู่ท่านจะตอบถึงสาเหตุที่สามารถข้ามแม่น้ำโขงมาได้ ท่านกลับตอบเป็นเชิงดุ ๆ ว่า “ไม่ใช่เรื่อง เอาล่ะ ไปกันได้แล้ว” ทำให้เณรน้อยยิ่งงงใหญ่ พลางก็เดินตามหลังหลวงปู่ท่านไป


จากปากคำบอกเล่าในบันทึกของอดีตนายอำเภอซึ่งได้รับคำไขขานบอกเล่าจากผู้เฒ่าผู้แก่ของเมืองท่าอุเทนเล่าให้ฟังว่า หลวงปู่ท่านหายตัวได้และย่อแผ่นดินจากกว้างให้แคบได้ เช่นเมืองท่าอุเทนอยู่ฝั่งไทย เมืองปากหินปูนอยู่ฝั่งลาว โดยมีแม่น้ำโขงกั้นกลางอยู่ แต่หลวงปู่ท่านก็มีความสามารถเดินข้ามได้อย่างสบาย มีเรื่องเล่าว่าในสมัยนั้นฝั่งลาวกับฝั่งไทยมีความรักใคร่กันดี เมื่อมีงานบุญก็จะบอกกล่าวถึงกันเป็นประจำ แม้จะมีแม่น้ำโขงขวางกั้นอยู่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด พระเณรจะถูกนิมนต์ให้ไปร่วมทำบุญและไปกันเป็นคณะ ซึ่งหลวงปู่ท่านก็กำลังมีชื่อเสียงโด่งดัง ท่านก็ถูกนิมนต์ไปด้วยเสมอ เพราะชาวฝั่งเมืองหินปูนต้องการชมบารมี และจะได้เห็นหน้าเห็นตาท่านชัด ๆ สักที เมื่อญาติโยมได้นิมนต์พระสงฆ์องค์เณรเรียบร้อยแล้วก็ได้พากันไปนิมนต์หลวงปู่สีทัตถ์ ซึ่งขณะนั้นท่านกำลังสั่งและควบคุมพวกช่างสร้างพระธาตุท่าอุเทนอยู่โดยขอนิมนต์ให้ท่านไปพร้อม ๆ กันหลาย ๆ รูปและหลายลำเรือและกล่าวกับท่านว่า “ชาวเมืองปากหินปูนกำลังรออยู่ ขอให้หลวงปู่ลงเรือไปด้วยกันให้จงได้ เพราะที่เรือได้เตรียมปูเสื่อน้อยให้สำหรับหลวงปู่อยู่แล้ว เพื่อจะได้ไปทันเจริญพระพุทธมนต์ก่อนเพลในโบสถ์ วัดปากหินปูน เสร็จแล้วก็จะได้ให้หลวงปู่ร่วมฉันเพลกับพระรูปอื่น ๆ ด้วย” หลวงปู่ท่านกล่าวกับญาติโยมว่า “ไปก่อนเถอะ จะสั่งเสียมอบหมายการงานให้ช่างสร้างพระธาตุท่าอุเทนเรียบร้อยแล้ว จะรีบตามไปให้ทันทีหลัง พวกญาติโยมก็พากันคะยั้นคะยออยู่หลายครั้ง หลวงปู่จึงหันหน้ามาบอกว่า “ไปเถอะ ไปก่อนเถอะ จะตามไปให้ทันทีหลัง ไม่ต้องห่วง” 


จากนั้นญาติโยมก็พากันลงเรือข้ามไปปากหินปูน พอไปถึงฝั่งปากหินไน ที่วัดกำลังมีงานผู้คนก็มาก ญาติโยมได้พาพระเณรจากฝั่งไทยเข้าโบสถ์ แต่เมื่อทุกคนมองเข้าไปในโบสถ์ ก็เกิดความสงสัยเป็นอย่างยิ่งเพราะพระเณรของเมืองปากหินปูน ต่างก็นั่งห้อมล้อมหลวงปู่สีทัตถ์อยู่อย่างเนืองแน่น สร้างความประหลาดใจไปตาม ๆ กัน เพราะเรือที่ตามมาติด ๆ กันมิได้เห็นมีสักลำ จะเข้าไปถามดูว่าท่านมาได้อย่างไรก็ไม่มีโอกาส เพราะมีพระอยู่มาก และกำลังประกอบกิจทางศาสนาอยู่ เมื่อเสร็จพิธีแล้ว ตอนบ่าย ๆ ญาติโยมก็พากันเดินทางกลับมายังเมืองท่าอุเทน ซึ่งหลวงปู่ท่านก็กลับมาด้วย พอมาถึงวัด ญาติโยมที่ฉงนสนเท่ห์เป็นอย่างมาก เพื่อให้หายสงสัยจึงไปกราบนมัสการถามหลวงปู่ว่า “หลวงปู่ไปถึงวัคปากหินปูนก่อนได้อย่างไร” ซึ่งหลวงปู่ท่านก็ตอบไปโดยเลี่ยง ๆ ว่า“ก็ตามกันไปนั่นแหละ ไม่เห็นหรือ ?” จากนั้นหลวงปู่ท่านก็พูดคุยไปในเรื่องอื่น ๆ อันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการสร้างพระธาตุว่า “งานของเรายังมีอีกมาก ช่วยกันเข้าจะได้เสร็จ ๆ ไป”


ต่อมาภายหลังเมื่อเสร็จจากการก่อสร้างพระธาตุบัวบกแล้ว ท่านก็ข้ามฝั่งโขงไปถึงธุดงคกรรมฐานอยู่ในป่าประเทศลาว หลังจากนั้นก็ได้มาสร้างมณฑปครอบรอยพระพุทธบาท (จำลอง) ที่บ้านโพนสัน ซึ่งการก่อสร้างก็สำเร็จไปด้วยดี หลวงปู่ท่านได้อยู่ที่วัดบ้านโพนสันอีก ๖ ปี ก็มรณภาพ ณ ที่วัดแห่งนั้น เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๓สิริอายุได้ ๗๕ ปีพอดี ก่อนมรณภาพ หลวงปู่ท่านสั่งเอาไว้ว่า “เมื่อเผาศพเสร็จแล้วให้เอากระดูกของท่านไปทิ้งลงในแม่น้ำโขงให้หมด ” ตังนั้น หลังจากเสร็จสิ้นพิธีศพของท่านแล้ว บรรดาศิษย์ทั้งหลายจึงนำอัฐิของท่านทิ้งลงในแม่น้ำโขงจนหมดสิ้น 


ในชีวิตของหลวงปู่สีทัตถ์พระผู้ใฝ่ในธรรมแห่งเมืองท่าอุเทน ท่านได้ออกเดินธุดงค์จงกรมไปหาความจริงถึงประเทศพม่า ลาว และทั่วภาคเหนือ-อีสาน ซึ่งมีสภาพเป็นป่าเขาลำเนาไพร อันเป็นสถานที่ยินดี เหมาะที่จะบำเพ็ญพลังจิต โดยมิได้ย่อท้อต่อภูมิประเทศและดินฟ้าอากาศแต่อย่างใด จิตใจของท่านจึงมั่นคง ไม่หวั่นไหว มุ่งแต่จะแสวงหาความจริงอันเป็นความจริง ดังคำสอนของพระพุทธรูปองค์ ท่านจึงเป็นพระอริยสงฆ์ที่ควรค่าแก่การยกย่องเป็นอย่างยิ่งองค์หนึ่ง

___________________________________________

กราบขอบพระคุณที่มาเรื่องราวดีๆจาก



เรียบเรียงข้อมูลรูปภาพโดยไทท่าอุเทน

__________________________________________